
ความวิตกกังวลเป็นปัญหาสำคัญที่เด็กมักเผชิญเมื่อเข้ารับการรักษาในแผนกฉุกเฉิน (ED) ซึ่งอาจมาจากกระบวนการรักษาที่เจ็บปวดหรือความกลัวต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย ความเครียดที่เกิดขึ้นไม่เพียงส่งผลกระทบต่อเด็กเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อผู้ปกครองที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์นี้ไปพร้อมกับลูกของตน การศึกษาล่าสุดได้เสนอว่าการใช้สุนัขบำบัดร่วมกับการดูแลตามปกติในแผนกฉุกเฉินเด็ก อาจช่วยลดความวิตกกังวลของเด็กได้อย่างมีนัยสำคัญ ในบทความนี้ เราจะวิเคราะห์ผลลัพธ์จากงานวิจัยเกี่ยวกับบทบาทของสุนัขบำบัดในการช่วยลดความวิตกกังวลของเด็กและผู้ปกครองในแผนกฉุกเฉิน
แนวทางการศึกษา งานวิจัยนี้เป็นการทดลองทางคลินิกแบบสุ่มควบคุม (randomized clinical trial) โดยดำเนินการระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2023 ถึง 30 มิถุนายน 2024 ในแผนกฉุกเฉินเด็กของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยเด็กอายุ 5-17 ปี ที่ถูกคัดเลือกว่ามีระดับความวิตกกังวลปานกลางถึงสูง จำนวน 80 คน ซึ่งแบ่งเป็นกลุ่มควบคุม (รับการบำบัดด้วยนักจิตวิทยาเด็กตามปกติ) และกลุ่มทดลอง (ได้รับการบำบัดร่วมกับการสัมผัสสุนัขบำบัดและผู้ดูแลเป็นเวลา 10 นาที)
ผลลัพธ์ที่วัดได้ การศึกษาวัดระดับความวิตกกังวลของเด็กโดยใช้มาตรวัด FACES (คะแนน 0 หมายถึงไม่มีความวิตกกังวล และ 10 หมายถึงวิตกกังวลอย่างรุนแรง) รวมถึงวัดระดับคอร์ติซอลในน้ำลายของเด็กและผู้ปกครองที่จุดเวลาต่าง ๆ ได้แก่ เริ่มต้น (T0) หลังจาก 45 นาที (T1) และหลังจาก 120 นาที (T2)
ผลการศึกษา ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่ากลุ่มที่ได้รับการสัมผัสสุนัขบำบัดมีระดับความวิตกกังวลลดลงอย่างมีนัยสำคัญมากกว่ากลุ่มควบคุม โดยเฉลี่ยระดับความวิตกกังวลของเด็กที่ได้รับการบำบัดด้วยสุนัขลดลง 2.7 คะแนน เมื่อเทียบกับ 1.5 คะแนนในกลุ่มควบคุม นอกจากนี้ ผู้ปกครองที่อยู่ร่วมกับเด็กในระหว่างการรักษายังรายงานว่าความวิตกกังวลของลูกลดลงมากกว่ากลุ่มที่ไม่ได้สัมผัสสุนัขบำบัด (ลดลง 3.2 คะแนน เทียบกับ 1.8 คะแนน) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการใช้สุนัขบำบัดสามารถช่วยบรรเทาความกังวลของทั้งเด็กและผู้ปกครองได้
ผลกระทบของระดับคอร์ติซอล ระดับคอร์ติซอลในน้ำลายของเด็กและผู้ปกครองลดลงในช่วงเวลา T1 ถึง T2 ในทั้งสองกลุ่ม อย่างไรก็ตาม ระดับคอร์ติซอลของผู้ปกครองยังคงสูงกว่าของเด็กอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจแสดงถึงระดับความเครียดที่สะสมมากกว่าของผู้ปกครองเอง
ผลกระทบต่อการใช้ยา งานวิจัยยังพบว่า เด็กในกลุ่มที่ได้รับสุนัขบำบัดมีแนวโน้มได้รับยาคลายเครียด เช่น midazolam หรือ ketamine น้อยกว่ากลุ่มควบคุม (18% เทียบกับ 35%) แม้ว่าความแตกต่างนี้จะไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ แต่ก็เป็นสัญญาณที่ดีว่าสุนัขบำบัดอาจช่วยลดความจำเป็นในการใช้ยาคลายเครียดในแผนกฉุกเฉินเด็ก
ข้อจำกัดของการศึกษา แม้ว่าผลการศึกษาจะแสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของสุนัขบำบัด แต่ก็ยังมีข้อจำกัดที่ต้องพิจารณา เช่น การทดลองนี้ดำเนินการในสภาพแวดล้อมที่มีนักจิตวิทยาเด็กอยู่แล้ว ซึ่งอาจไม่สะท้อนถึงแผนกฉุกเฉินอื่น ๆ ที่ไม่มีการบำบัดรูปแบบนี้ นอกจากนี้ ยังมีข้อจำกัดด้านความสามารถในการควบคุมตัวแปรอื่น ๆ เช่น ประสบการณ์ก่อนหน้าของเด็กกับสัตว์เลี้ยงที่อาจส่งผลต่อปฏิกิริยาต่อสุนัขบำบัด
ข้อเสนอแนะสำหรับอนาคต การศึกษาครั้งนี้สนับสนุนแนวคิดว่าการใช้สุนัขบำบัดสามารถเป็นเครื่องมือเสริมที่มีประสิทธิภาพในการลดความวิตกกังวลในเด็กและผู้ปกครองในแผนกฉุกเฉิน อย่างไรก็ตาม ควรมีการศึกษาเพิ่มเติมในกลุ่มตัวอย่างที่ใหญ่ขึ้นและในสภาพแวดล้อมทางการแพทย์ที่แตกต่างกันเพื่อตรวจสอบผลลัพธ์ในระยะยาว
สรุป ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า สุนัขบำบัดสามารถช่วยลดความวิตกกังวลของเด็กและผู้ปกครองในแผนกฉุกเฉินเด็กได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยสามารถลดความจำเป็นในการใช้ยาคลายเครียดและสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นสำหรับเด็กในสถานพยาบาล ผลลัพธ์นี้สนับสนุนให้มีการพิจารณานำสุนัขบำบัดเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการดูแลเด็กในแผนกฉุกเฉินอย่างเป็นระบบต่อไป
Reference: JAMA Network Open Journal.