
(ภาพประกอบ)
คุรุสภาเร่งผลักดันร่างข้อบังคับมาตรฐานวิชาชีพครูปฐมวัย ฉบับใหม่ หวังยกระดับคุณภาพการศึกษาของไทยตั้งแต่รากฐาน รองรับการเปลี่ยนแปลงของสังคมยุคใหม่และเทคโนโลยีสมัยใหม่ พร้อมเปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน โดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการคุรุสภาแล้ว และอยู่ระหว่างเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการพิจารณาลงนามก่อนประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา
ผศ.ดร.อมลวรรณ วีระธรรมโม เลขาธิการคุรุสภา เปิดเผยว่า การจัดทำร่างข้อบังคับคุรุสภาดังกล่าว เป็นการสนับสนุนนโยบาย “เรียนดี มีความสุข” ของ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาครูให้มีคุณภาพสูง เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพและตอบโจทย์ความสุขของผู้เรียน
ร่างข้อบังคับครูปฐมวัยฉบับใหม่: เนื้อหาครอบคลุม 3 ด้านหลัก
- มาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ
กำหนดให้ครูปฐมวัยต้องมีความรู้ลึกซึ้งด้านพัฒนาการเด็ก สมองและการเรียนรู้ตามช่วงวัย การสร้างสัมพันธภาพกับเด็ก การออกแบบการเรียนรู้ที่เหมาะสม รวมถึงการใช้เทคโนโลยีและการประเมินพัฒนาการแบบองค์รวม สอดคล้องกับสังคมและระบบนิเวศรอบตัวเด็ก เช่น ครอบครัว ชุมชน สาธารณสุข และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง - มาตรฐานการปฏิบัติงาน
ครูปฐมวัยต้องมีจิตวิญญาณของความเป็นครู ใส่ใจดูแลเด็กด้วยความเมตตา ออกแบบการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์และบูรณาการที่สอดคล้องกับพัฒนาการตามวัย สร้างความร่วมมือกับผู้ปกครองและชุมชน ใช้การสื่อสารเชิงบวกในการพัฒนาเด็ก ตลอดจนใช้เทคโนโลยีการศึกษาร่วมกับกิจกรรมที่หลากหลายเพื่อเสริมสมรรถนะพื้นฐานของเด็กอย่างเหมาะสม - มาตรฐานการปฏิบัติตน
ต้องปฏิบัติตนตามจรรยาบรรณของวิชาชีพครู มีคุณธรรม จริยธรรม และวางตนให้เหมาะสมกับบทบาทของครูผู้เป็นผู้ดูแลเด็กในช่วงวัยเริ่มต้นของชีวิต
นอกจากนี้ ผู้ประกอบวิชาชีพครูปฐมวัยยังต้องมีประสบการณ์ปฏิบัติการสอนอย่างน้อย 1 ปีในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย และผ่านการประเมินตามหลักเกณฑ์ที่คุรุสภากำหนด
เน้นครูเป็นรากฐานการศึกษาตั้งแต่วัยแรกเริ่ม
“คุรุสภาเห็นความสำคัญของครูปฐมวัยในฐานะผู้ออกแบบการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพของเด็กในช่วงสำคัญของชีวิต ซึ่งจะเป็นรากฐานในการเติบโตและเรียนรู้ในขั้นต่อไป” ผศ.ดร.อมลวรรณ กล่าว พร้อมระบุว่าร่างข้อบังคับฉบับใหม่นี้มีเป้าหมายให้ครูมีสมรรถนะทางวิชาชีพที่สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย และส่งเสริมพัฒนาการเด็กอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ คุรุสภาได้เปิดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สถาบันผลิตครู หน่วยงานผู้ใช้ครู ครูในวิชาชีพ รวมถึงผู้ปกครองและนิสิตนักศึกษา ร่วมแสดงความคิดเห็นในกระบวนการจัดทำข้อบังคับ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและครอบคลุมทุกมิติ.