Posted on

มัลแวร์ vs ไวรัส: ความแตกต่าง อันตราย และกฎหมายที่ควรรู้

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน ความปลอดภัยทางไซเบอร์กลายเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ หนึ่งในภัยคุกคามที่สำคัญที่สุดคือ “มัลแวร์” (Malware) และ “ไวรัสคอมพิวเตอร์” (Computer Virus) ซึ่งทั้งสองมีบทบาทในการทำลายหรือขโมยข้อมูลจากระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ แม้ว่าคำว่า “มัลแวร์” และ “ไวรัส” จะถูกใช้แทนกันในบางบริบท แต่แท้จริงแล้วมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน บทความนี้จะอธิบายถึงความแตกต่าง อันตราย และมาตรการทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย

ความหมายของมัลแวร์และไวรัส

1. มัลแวร์ (Malware)

มัลแวร์เป็นคำรวมที่ใช้เรียกซอฟต์แวร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อทำอันตรายต่อระบบคอมพิวเตอร์หรือขโมยข้อมูลจากผู้ใช้ มัลแวร์มีหลายประเภท เช่น ไวรัส โทรจัน เวิร์ม แรนซัมแวร์ และสปายแวร์

2. ไวรัสคอมพิวเตอร์ (Computer Virus)

ไวรัสคอมพิวเตอร์เป็นหนึ่งในประเภทของมัลแวร์ที่สามารถแพร่กระจายโดยการแนบตัวเองไปกับไฟล์หรือโปรแกรมอื่น และจะทำงานเมื่อไฟล์หรือโปรแกรมนั้นถูกเปิดใช้งาน ไวรัสสามารถทำให้ระบบคอมพิวเตอร์เสียหายได้โดยการลบหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูล

ความแตกต่างระหว่างมัลแวร์และไวรัส

ปัจจัยเปรียบเทียบมัลแวร์ไวรัส
ขอบเขตความหมายเป็นคำรวมที่หมายถึงซอฟต์แวร์ที่เป็นอันตรายทุกประเภทเป็นประเภทหนึ่งของมัลแวร์
วิธีการแพร่กระจายอาจแพร่กระจายผ่านอีเมล ไฟล์แนบ ลิงก์ หรือช่องโหว่ของซอฟต์แวร์ต้องอาศัยไฟล์หรือโปรแกรมอื่นในการแพร่กระจาย
วิธีการทำงานอาจขโมยข้อมูล เข้ารหัสไฟล์ หรือควบคุมระบบจากระยะไกลอาจลบ แก้ไข หรือทำให้ข้อมูลเสียหาย

ประเภทของมัลแวร์

1. เวิร์ม (Worm)

เป็นมัลแวร์ที่สามารถแพร่กระจายตัวเองผ่านเครือข่ายโดยไม่ต้องพึ่งพาไฟล์ใด ๆ

2. โทรจัน (Trojan)

แฝงตัวมาในรูปแบบของโปรแกรมที่ดูเหมือนไม่เป็นอันตราย แต่เมื่อเปิดใช้งานจะให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบของเหยื่อได้

3. สปายแวร์ (Spyware)

ซอฟต์แวร์ที่แอบเก็บข้อมูลของผู้ใช้ เช่น รหัสผ่าน หรือพฤติกรรมการใช้งานอินเทอร์เน็ต

4. แรนซัมแวร์ (Ransomware)

เข้ารหัสไฟล์ของผู้ใช้และเรียกร้องค่าไถ่เพื่อให้สามารถกู้คืนไฟล์ได้

5. รูทคิต (Rootkit)

ซ่อนตัวในระบบเพื่อให้แฮกเกอร์สามารถควบคุมอุปกรณ์ได้โดยไม่ถูกตรวจพบ

อันตรายของมัลแวร์และไวรัส

  • ทำให้ข้อมูลสูญหาย
  • ขโมยข้อมูลส่วนตัว เช่น รหัสผ่าน และข้อมูลบัตรเครดิต
  • เรียกค่าไถ่จากเหยื่อผ่านแรนซัมแวร์
  • เปิดช่องให้แฮกเกอร์เข้าถึงและควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์จากระยะไกล

มาตรการป้องกันมัลแวร์และไวรัส

  • ติดตั้งซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสและอัปเดตระบบอย่างสม่ำเสมอ
  • หลีกเลี่ยงการเปิดไฟล์แนบจากอีเมลที่ไม่รู้จัก
  • หลีกเลี่ยงการดาวน์โหลดซอฟต์แวร์จากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ
  • ใช้การสำรองข้อมูลเป็นประจำ

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง: พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560

มาตราสำคัญที่เกี่ยวข้อง

  • มาตรา 5: ผู้ใดเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์โดยมิชอบ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • มาตรา 7: ผู้ใดกระทำให้ข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นเสียหาย ถูกทำลาย แก้ไข หรือเปลี่ยนแปลงโดยมิชอบ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • มาตรา 12: การส่งมัลแวร์เพื่อสร้างความเสียหายต่อระบบคอมพิวเตอร์ผู้อื่น มีโทษจำคุกสูงสุดถึงห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท

มัลแวร์และไวรัสเป็นภัยคุกคามที่สำคัญต่อความปลอดภัยทางคอมพิวเตอร์ การเข้าใจความแตกต่างระหว่างสองสิ่งนี้ รวมถึงการตระหนักถึงมาตรการป้องกันและบทลงโทษตามกฎหมาย จะช่วยให้เราสามารถลดความเสี่ยงและปกป้องข้อมูลสำคัญของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ.

Reference: Coohfey.com