การพูดคุยกันทางโทรศัพท์ระหว่างโชลซ์และปูตินได้สร้างความกังวลให้กับพันธมิตรยูเครนในตะวันตก ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าการกระทำนี้อาจเพิ่มอิทธิพลเชิงบวกให้กับปูติน
นายโดนัลด์ ทัสก์ นายกรัฐมนตรีโปแลนด์ กล่าวผ่าน X ว่า “ไม่มีใครจะหยุดปูตินได้ด้วยการโทรศัพท์ … การทูตผ่านโทรศัพท์ไม่สามารถแทนที่การสนับสนุนที่แท้จริงจากตะวันตกต่อยูเครนได้” นักวิเคราะห์ชี้ว่า การเคลื่อนไหวของโชลซ์อาจเป็นผลมาจากแรงกดดันทางการเมืองในเยอรมนี โดยเฉพาะการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง ขณะที่บรรยากาศภายใน NATO ก็เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนเกี่ยวกับจุดยืนของทรัมป์ในเรื่องนี้
ยุทธศาสตร์ของทรัมป์
ยังคงไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับแผนของทรัมป์ในการเจรจาสันติภาพ แต่ผู้สนับสนุนของเขาได้กล่าวถึงแนวทาง “สันติภาพผ่านความแข็งแกร่ง” โดยชี้ให้เห็นว่าการเจรจาจะเริ่มต้นได้เมื่อรัสเซียยอมรับว่าไม่คุ้มค่าที่จะสู้ต่อ นักการทูตจากตะวันตกเตือนว่า ประวัติศาสตร์ของรัสเซียแสดงให้เห็นว่าการเจรจาอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือชั่วคราวก่อนที่จะกลับมารุกรานอีกครั้ง พันธมิตรสหรัฐและยุโรปยังคงเพิ่มการสนับสนุนยูเครนในรูปแบบต่าง ๆ รวมถึงการให้เงินกู้และการอนุญาตให้ใช้ขีปนาวุธ ATACMs เพื่อตอบโต้ความพยายามของรัสเซียในการเสริมกำลังในแนวหน้า
ความหวังและความเสี่ยง
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อว่าหากมีข้อตกลงเกิดขึ้น มันอาจหมายถึงการตรึงแนวรบปัจจุบัน ซึ่งจะทำให้รัสเซียสามารถครอบครองพื้นที่ประมาณ 1 ใน 5 ของยูเครน แต่คำถามยังคงมีอยู่ว่า ข้อตกลงนี้จะนำไปสู่สันติภาพที่แท้จริงหรือเพียงแค่การพักรบก่อนที่ความขัดแย้งจะกลับมาอีกครั้ง
การเจรจาที่ใกล้จะมาถึงนี้สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงที่ซับซ้อนในเวทีโลก และผลลัพธ์ของมันอาจเป็นตัวกำหนดอนาคตของยูเครนและความมั่นคงของยุโรปในระยะยาว.