Posted on

ผลวิจัยชี้ 4 กลุ่มเสี่ยงผู้หญิงในสหรัฐฯ ที่เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายด้วยปืน – เกือบครึ่งไม่เคยมีประวัติสุขภาพจิตหรือสุขภาพกาย

18 เมษายน 2568 – งานวิจัยล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร JAMA Network Open เผยให้เห็นภาพที่ซับซ้อนของผู้หญิงในสหรัฐอเมริกาที่เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายด้วยอาวุธปืน โดยระบุว่ามีเพียง 4 กลุ่มหลักที่สามารถจัดประเภทตามปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพจิตและสุขภาพกายได้อย่างชัดเจน ขณะที่ผู้เสียชีวิตอีกราว 42% ไม่สามารถจัดอยู่ในกลุ่มใดเลย สะท้อนถึงปัญหาการเข้าถึงบริการสาธารณสุขและความจำเป็นในการป้องกันผ่านช่องทางอื่นนอกเหนือจากระบบสุขภาพ

ฆ่าตัวตายด้วยปืนในผู้หญิงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในรอบทศวรรษ

การฆ่าตัวตายด้วยปืนกลายเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ในกลุ่มผู้หญิงวัยกลางคนในสหรัฐฯ และเพิ่มขึ้นกว่า 28% ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ปัจจัยหนึ่งคือการเพิ่มขึ้นของเจ้าของปืนรายใหม่ โดยเกือบครึ่งหนึ่งเป็นผู้หญิง อีกทั้งยังพบว่าผู้หญิงมักใช้ปืนที่ไม่ได้เป็นของตนเองในการจบชีวิต โดยเฉพาะปืนของคนรักหรือคู่ครอง

วิเคราะห์เชิงลึก: 4 กลุ่มผู้หญิงที่มีปัจจัยเสี่ยงก่อนฆ่าตัวตายด้วยปืน

จากการวิเคราะห์ข้อมูลการเสียชีวิตระหว่างปี 2014 ถึง 2018 โดยใช้ฐานข้อมูลระดับประเทศของระบบติดตามการเสียชีวิตจากความรุนแรง (National Violent Death Reporting System) จากผู้เสียชีวิต 8,318 ราย พบว่า :

  • 57.9% สามารถจัดอยู่ในสี่กลุ่มเสี่ยง ได้แก่
    1. มีปัญหาการใช้แอลกอฮอล์หรือสารเสพติด (26.4%)
    2. มีอาการซึมเศร้าหรือมีความคิดฆ่าตัวตาย (47.5%)
    3. มีปัญหาสุขภาพกายหรืออาการเจ็บปวดเรื้อรัง (21.9%)
    4. มีปัญหาทั้งด้านจิตใจและร่างกาย (Multimorbidity) (4.2%)
  • ที่น่าตกใจคือ 42.1% ของผู้เสียชีวิตไม่สามารถจัดเข้ากลุ่มใดได้เลย ซึ่งอาจสะท้อนถึงการที่กลุ่มนี้ไม่มีประวัติการเข้ารับบริการดูแลสุขภาพจิตหรือสุขภาพกายมาก่อน

การเข้าถึงระบบสุขภาพ: ยังเป็นอุปสรรคสำคัญ

แม้ผู้เสียชีวิตกว่าครึ่งจะมีประวัติด้านสุขภาพจิต (51.7%) แต่มีเพียง 28.6% เท่านั้นที่เคยเข้ารับการรักษา ขณะที่ 21.2% มีปัญหาสุขภาพกาย และเกือบ 27% เคยประสบปัญหากับคู่รักหรือครอบครัวก่อนเสียชีวิต โดยเฉพาะกลุ่มที่มีปัญหาการใช้สารเสพติด ซึ่งพบว่ามากถึง 40% มีปัญหาในความสัมพันธ์ก่อนจบชีวิต

นอกจากนี้ ยังพบว่าในกลุ่มผู้ที่ไม่มีประวัติปัญหาด้านสุขภาพหรือมีเพียงปัจจัยเดียว สัดส่วนของผู้หญิงผิวดำสูงกว่า (7.0%) เมื่อเทียบกับกลุ่มที่มีปัจจัยหลายด้านร่วมกัน (3.8%)

สู่แนวทางป้องกันที่หลากหลายและเข้าถึงได้จริง

ทีมวิจัยชี้ว่าการเข้าไม่ถึงบริการสุขภาพอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไม่สามารถระบุความเสี่ยงได้ล่วงหน้า โดยเฉพาะในกลุ่มที่ไม่มีประวัติชัดเจนในระบบบริการสุขภาพ จึงจำเป็นต้องออกแบบมาตรการป้องกันนอกเหนือจากสถานพยาบาล เช่น การรณรงค์ในชุมชน โรงเรียน และช่องทางสื่อ

นอกจากนี้ ความเกี่ยวโยงกับปัญหาในความสัมพันธ์ยังเป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญ ซึ่งควรถูกรวมเข้ากับนโยบายด้านความปลอดภัยจากอาวุธปืนและการป้องกันความรุนแรงในครอบครัว


อ้างอิง:
งานวิจัย “Mental and Physical Health-Related Risk Factors Among Females Who Died by Firearm Suicide” โดยทีมวิจัยจาก National Violent Death Reporting System ตีพิมพ์วันที่ 18 เมษายน 2568 ในวารสาร JAMA Network Open
DOI: 10.1001/jamanetworkopen.2025.5941