
(ภาพประกอบ)
ผลวิจัยล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร JAMA Network Open เมื่อเดือนมกราคม 2025 เผยให้เห็นว่า ผู้รอดชีวิตจากโรคมะเร็งในวัยเด็กมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะกระดูกบาง (osteopenia) และกระดูกพรุน (osteoporosis) เมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับการรักษาด้วยรังสีบริเวณสมองหรืออัณฑะ รวมถึงผู้ที่มีภาวะฮอร์โมนผิดปกติ ซึ่งเป็นผลข้างเคียงระยะยาวจากการรักษาโรคมะเร็งในวัยเด็ก
การศึกษาวิจัยนี้ใช้ข้อมูลจากโครงการ St. Jude Lifetime Cohort Study (SJLIFE) ซึ่งติดตามผู้รอดชีวิตจากโรคมะเร็งในวัยเด็กจำนวนกว่า 3,500 คน โดยวัดค่าความหนาแน่นของมวลกระดูก (bone mineral density: BMD) ด้วยเครื่อง Dual-Energy X-ray Absorptiometry (DEXA scan) และวิเคราะห์ข้อมูลด้านสุขภาพอื่น ๆ เช่น ระดับฮอร์โมน พฤติกรรมการใช้ชีวิต และคุณภาพชีวิตในระยะยาว
ผู้รอดชีวิตจากมะเร็งวัยเด็ก เสี่ยงกระดูกบางมากกว่าประชากรทั่วไป
จากผลการวิจัยพบว่า
- ประมาณ 23.7% ของผู้เข้าร่วมมีภาวะกระดูกบาง (osteopenia)
- 5.9% มีภาวะกระดูกพรุน (osteoporosis)
- กลุ่มผู้ชายมีความเสี่ยงสูงกว่าผู้หญิงถึงสองเท่า
- ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นตามอายุ โดยเฉพาะในผู้ที่อายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป
นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้ที่มีภาวะกระดูกบางหรือพรุนในระดับรุนแรงมักมีคุณภาพชีวิตต่ำลงในหลายมิติ เช่น
- มีอาการซึมเศร้าและวิตกกังวลมากกว่า
- มีข้อจำกัดด้านการเคลื่อนไหวและกิจวัตรประจำวัน
- มีโอกาสว่างงานหรือทำงานได้น้อยลง
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ: รังสีรักษา พฤติกรรมชีวิต และฮอร์โมน
ทีมวิจัยชี้ให้เห็นว่า ปัจจัยเสี่ยงที่มีนัยสำคัญต่อภาวะกระดูกบางในกลุ่มผู้รอดชีวิตจากมะเร็ง ได้แก่
- การได้รับรังสีรักษาบริเวณศีรษะหรือกะโหลก (cranial radiation therapy) ซึ่งอาจส่งผลต่อการทำงานของต่อมใต้สมอง ทำให้ระดับฮอร์โมนการเจริญเติบโต (growth hormone) ลดลง
- การได้รับรังสีที่อัณฑะหรืออุ้งเชิงกราน ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะฮอร์โมนเพศต่ำ (hypogonadism)
- พฤติกรรมสุขภาพที่ไม่เหมาะสม เช่น สูบบุหรี่ ไม่ออกกำลังกาย และรับแคลเซียมหรือวิตามินดีไม่เพียงพอ
- น้ำหนักตัวน้อยเกินไป และ ภาวะทุพโภชนาการ ซึ่งพบได้บ่อยในช่วงหรือหลังการรักษามะเร็ง
นักวิจัยเน้นย้ำว่าภาวะเหล่านี้ล้วนสามารถป้องกันและรักษาได้ หากมีการติดตามและวางแผนสุขภาพอย่างเหมาะสมในระยะยาว
ข้อเสนอเชิงนโยบาย: ควรมีแนวทางตรวจวัดความหนาแน่นกระดูก ในผู้รอดชีวิตจากมะเร็ง
แม้จะยังไม่มีแนวทางปฏิบัติอย่างเป็นทางการในการตรวจคัดกรองกระดูกบางในผู้รอดชีวิตจากโรคมะเร็งในวัยเด็ก แต่ผลการศึกษานี้เสนอว่า
- ควรเริ่มตรวจวัด BMD ตั้งแต่อายุ 18–25 ปี
- ผู้ที่ได้รับรังสีรักษาบริเวณสมองหรืออัณฑะ ควรได้รับการตรวจ BMD เป็นระยะ
- ควรมีการประเมินระดับฮอร์โมนเป็นประจำ โดยเฉพาะฮอร์โมนเพศและฮอร์โมนการเจริญเติบโต
- ส่งเสริมให้ผู้ป่วยออกกำลังกายอย่างเหมาะสม กินอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดี และหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
นอกจากนี้ ผู้เขียนงานวิจัยยังเรียกร้องให้หน่วยงานสาธารณสุขและโรงพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยมะเร็งในวัยเด็ก จัดตั้ง “คลินิกติดตามระยะยาว” (long-term survivorship clinics) ที่ให้บริการตรวจสุขภาพกระดูกและระบบต่อมไร้ท่อต่อเนื่องหลังจบการรักษา
สรุปสำหรับประชาชนทั่วไป
ผู้ที่เคยป่วยเป็นมะเร็งในวัยเด็ก แม้จะรักษาหายขาดแล้ว แต่ยังมีความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพระยะยาว โดยเฉพาะภาวะกระดูกบางและกระดูกพรุน ซึ่งอาจทำให้คุณภาพชีวิตลดลงเมื่อโตขึ้น ดังนั้น ควรตรวจเช็คสุขภาพกระดูกเป็นระยะ และดูแลพฤติกรรมชีวิตให้เหมาะสม เช่น ออกกำลังกาย เลิกบุหรี่ และปรึกษาแพทย์เรื่องฮอร์โมนหากสงสัยผิดปกติ.
แหล่งอ้างอิง :
St. Jude Lifetime Cohort Study. “Attributable Risk and Consequences of Bone Mineral Density Deficits in Childhood Cancer Survivors.” JAMA Network Open, 10 ม.ค. 2025. doi:10.1001/jamanetworkopen.2024.54069