ผลการศึกษาวิจัยล่าสุดระบุว่าฉลากสีสันสดใสและภาพการ์ตูนที่ติดอยู่บนบรรจุภัณฑ์สามารถบ่งชี้ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นอาจไม่มีคุณค่าทางโภชนาการมากนัก ผลการศึกษาวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร พลอสวัน(PLOS One) พบว่าผลิตภัณฑ์ที่มีกลยุทธ์การตลาดซึ่งออกแบบมาเพื่อดึงดูดเด็กๆ มักจะมีปริมาณน้ำตาลสูงกว่าและมีคุณค่าทางโภชนาการต่ำกว่าเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์อื่นๆที่ไม่ใช้กลยุทธ์ทางการตลาดดังกล่าว นักวิจัยได้ตรวจสอบอาหารบรรจุหีบห่อเกือบ 6,000 รายการ โดยวิเคราะห์ทั้งกลยุทธ์ทางการตลาดที่มุ่งเป้าไปที่เด็กและวิเคราะห์ข้อมูลทางโภชนาการของผลิตภัณฑ์ ดร.คริสติน มัลลิแกน ผู้เขียนรายงานการศึกษาวิจัยระดับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยโตรอนโต ได้ตั้งข้อสังเกตว่าผลิตภัณฑ์ที่มีเป้าหมายเป็นเด็กจำนวนมากที่วางขายตามตลาดนั้นแท้จริงแล้วไม่ดีต่อสุขภาพและมีคุณภาพทางโภชนาการต่ำกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มุ่งเป้าหมายไปที่เด็ก
กลยุทธ์การตลาดดังกล่าวใช้ประโยชน์จากศักยภาพของเด็กในการที่จะทำให้กลายเป็น “ผู้ใหญ่ที่ยึดติดกับแบรนด์ยี่ห้อ” ตามที่ ดร.อดัม มายา จากโรงเรียนแพทย์สแตนฟอร์ดกล่าวไว้ (Dr. Maya Adam from Stanford School of Medicine)
ดร.คริสติล มัลลิแกน ชี้ให้เห็นว่าเนื่องจากนี่เป็นเพียงแง่มุมหนึ่งของภาพรวมทางการตลาดที่กว้างขึ้น ซึ่งรวมถึงสื่อโทรทัศน์ โซเชียลมีเดีย การกีฬา ศูนย์ชุมชน และแม้แต่ในโรงเรียน ผลวิจัยเน้นย้ำถึงผลกระทบของการตลาดดังกล่าวต่อพฤติกรรมการกินของเด็ก ซึ่งอาจนำไปสู่ผลกระทบด้านสุขภาพในระยะยาว
เพื่อแก้ไขปัญหานี้ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้หน่วยงานรัฐบาลบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันแนวทางปฏิบัติด้านการตลาดที่จะเป็นอันตรายต่อเด็ก และในขณะที่รอการเปลี่ยนแปลงด้านกฎหมายนี้ แต่ละบุคคลก็สามารถที่จะดำเนินการป้องกันปัญหาเหล่านี้ในบ้านได้ เช่น สร้างความตระหนักรู้ให้แก่เด็กๆ ที่เห็นโฆษณาและประกอบอาหารเองที่บ้านมากขึ้น เพื่อควบคุมคุณภาพทางโภชนาการของอาหารได้ดียิ่งขึ้น การพูดคุยสร้างความเข้าใจกับเด็กๆ เกี่ยวกับอิทธิพลของการตลาดและการให้พวกเขาเลือกรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ ในระหว่างการซื้อของชำก็สามารถสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องซึ่งเป็นผลกระทบเชิงบวกได้เช่นกัน