Posted on

บทวิเคราะห์: อนาคตนักศึกษาต่างชาติสั่นคลอน หลังรัฐบาลสหรัฐฯสั่งเพิกถอนสิทธิ์ฮาร์วาร์ด

(ภาพประกอบ-สร้างจากคอมพิวเตอร์)

เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2025 รัฐบาลทรัมป์ได้ประกาศยกเลิกสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในการรับนักศึกษาต่างชาติอย่างเป็นทางการ โดยอ้างว่ามหาวิทยาลัยปฏิเสธความร่วมมือกับกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (DHS) ในการส่งมอบข้อมูลพฤติกรรมของนักศึกษาต่างชาติ เป็นการดำเนินมาตรการลงโทษที่ส่งแรงสะเทือนถึงรากฐานของระบบอุดมศึกษาในสหรัฐฯ และสะท้อนถึงการใช้อำนาจรัฐที่ถูกวิจารณ์ว่าเป็นไปเพื่อผลทางการเมืองมากกว่าความมั่นคงจริงจัง

ประเด็นสำคัญและการวิเคราะห์

1. การใช้มาตรการลงโทษเชิงสถาบันเพื่อต่อสู้ทางอุดมการณ์

รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวหามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดว่าเป็น “แหล่งเพาะแนวคิดต่อต้านอเมริกาและยิว” และไม่ดำเนินมาตรการจริงจังต่อการประท้วงของนักศึกษาที่เกี่ยวข้องกับสงครามอิสราเอล-ฮามาส รวมถึงแนวทางส่งเสริมความหลากหลาย (DEI) ที่ถูกมองว่า “เหยียดเชื้อชาติย้อนกลับ” การถอนใบอนุญาตนักเรียนในโครงการแลกเปลี่ยน SEVP (Student and Exchange Visitor Program) จึงเป็นมาตรการตอบโต้ที่ชัดเจนต่อเป้าหมายทางอุดมการณ์ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด

2. ผลกระทบต่อประชาคมโลกและความเป็นสากลของมหาวิทยาลัย

การเพิกถอนสิทธิ์รับนักศึกษาต่างชาติทันที ทำให้นักศึกษาหลายพันคนที่มีสถานะเป็นชาวต่างชาติต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนด้านวีซ่า ด้านการเรียน และด้านที่อยู่อาศัย นักศึกษาจำนวนหนึ่งที่เตรียมตัวมาเรียนในปีการศึกษาใหม่ปีนี้ ต้องยกเลิกแผนการเดินทางอย่างกะทันหัน บางรายต้องหามหาวิทยาลัยใหม่ ทั้งหมดนี้ได้ทำลายความเชื่อมั่นที่ว่าสหรัฐฯเป็นศูนย์กลางของการศึกษาระดับโลก

3. ความขัดแย้งเรื่องอำนาจรัฐกับเสรีภาพทางวิชาการ

การเรียกร้องให้ส่งข้อมูล “พฤติกรรมทางความคิด” ของนักศึกษาต่างชาติ รวมถึงวิดีโอการประท้วง ถือเป็นการล้ำเส้นต่อเสรีภาพทางวิชาการและสิทธิส่วนบุคคล ฮาร์วาร์ดยืนยันว่าเงื่อนไขเหล่านี้ละเมิดรัฐธรรมนูญและการดำเนินการของรัฐบาลเป็นการคุกคามสถาบันการศึกษาทั้งระบบ

4. ผลกระทบด้านเศรษฐกิจและอิทธิพลทางวัฒนธรรม

การตัดสิทธิ์รับนักศึกษาต่างชาติและแช่แข็งเงินทุนของฮาร์วาร์ดกว่า 2.2 พันล้านดอลลาร์ รวมถึงการเตรียมยกเลิกสถานะปลอดภาษีของมหาวิทยาลัย ไม่เพียงแต่กระทบต่อสถาบันเดียว แต่ยังส่งสัญญาณอันตรายต่อมหาวิทยาลัยอื่นๆในสหรัฐฯ ที่ มีนโยบายคล้ายคลึงกัน การกระทำนี้ยังเป็นบ่อนทำลาย “soft power” ของสหรัฐฯ ซึ่งเคยใช้การศึกษาระดับสูงเป็นเครื่องมือในการสร้างพันธมิตรและอิทธิพลทั่วโลก

5. การเมืองในประเทศที่ส่งผลถึงนโยบายการศึกษา

ในช่วงเลือกตั้งที่ใกล้เข้ามา การโจมตีมหาวิทยาลัยที่ถูกมองว่า “เสรีนิยมเกินไป” เป็นยุทธศาสตร์ของพรรครีพับลิกันเพื่อดึงคะแนนเสียงจากฐานอนุรักษ์นิยม นโยบายนี้จึงถูกมองว่าเป็น “การแสดงอำนาจ” มากกว่าความพยายามรักษาความมั่นคง

สรุป :

กรณีนี้ไม่ใช่เพียงความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แต่เป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่อาจส่งผลรุนแรงต่ออนาคตของการศึกษานานาชาติในสหรัฐฯ การใช้อำนาจรัฐเพื่อกดดันมหาวิทยาลัยให้เปลี่ยนจุดยืนทางอุดมการณ์เป็นแนวทางที่เสี่ยงต่อการบ่อนทำลายหลักประชาธิปไตย เสรีภาพทางวิชาการ และภาพลักษณ์ของประเทศในฐานะจุดหมายปลายทางด้านวิชาการชั้นนำของโลก.

แหล่งอ้างอิง:

  • ถ้อยแถลงจาก DHS และ Harvard University