Posted on

บทวิเคราะห์: วิกฤตตลาดหุ้น ผลกระทบจากนโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ประสบภาวะตกต่ำอย่างหนักจากความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจที่นำโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งการตัดสินใจทางการค้าของเขา ส่งผลต่อความมั่นใจของนักลงทุน และเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้เกิดการเทขายหุ้นครั้งใหญ่ บทความนี้จะวิเคราะห์ถึงสาเหตุและผลกระทบของนโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์ที่นำไปสู่ความผันผวนของตลาด รวมถึงความเป็นไปได้ของภาวะเศรษฐกิจถดถอยในอนาคต

การดำเนินนโยบายที่ก่อให้เกิดความไม่แน่นอน ตั้งแต่ต้นสมัยที่สองของทรัมป์ เขาได้ดำเนินนโยบายที่เน้นความเป็นอเมริกาต้องมาก่อน (America First) ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การลดการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศ ไปจนถึงการใช้ภาษีศุลกากรเป็นเครื่องมือในการเจรจาการค้า การขึ้นภาษีนำเข้าจากแคนาดา เม็กซิโก และจีน ส่งผลให้ต้นทุนของธุรกิจและราคาสินค้าผู้บริโภคสูงขึ้น แม้ว่ารัฐบาลของทรัมป์จะให้เหตุผลว่านโยบายดังกล่าวจะช่วยฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ แต่ในระยะสั้นกลับสร้างความกังวลให้กับตลาดการเงิน

ตลาดหุ้นและความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจถดถอย ในช่วงต้นปี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงแสดงสัญญาณการเติบโต แต่เริ่มเผชิญแรงกดดันจากความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอย เมื่อทรัมป์ปฏิเสธที่จะยืนยันว่าเศรษฐกิจจะไม่เข้าสู่ภาวะถดถอยในปีนี้ ความไม่มั่นใจดังกล่าวส่งผลให้ดัชนี S&P 500 ลดลงถึง 9% ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน และส่งผลกระทบต่อบัญชีลงทุนเพื่อการเกษียณอายุของชาวอเมริกันหลายล้านคน

ดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jones) ปรับตัวลดลงเกือบ 900 จุด หรือประมาณ 2.08% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ซึ่งมีหุ้นเทคโนโลยีเป็นองค์ประกอบหลักร่วงลง 4% การลดลงของหุ้นในกลุ่ม “Magnificent Seven” เช่น Apple, Microsoft และ Tesla สะท้อนให้เห็นถึงการสูญเสียความเชื่อมั่นของนักลงทุนในอนาคตของเศรษฐกิจภายใต้การบริหารของทรัมป์

ปฏิกิริยาของตลาดต่อความผันผวนของนโยบายภาษีศุลกากร นโยบายภาษีศุลกากรของทรัมป์เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อตลาด จากการขู่ว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก 25% ก่อนจะกลับคำตัดสินในเวลาต่อมา นอกจากนี้ การเพิ่มภาษีนำเข้าจากจีนเป็น 20% และมาตรการภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมที่กำลังจะมีผลในเดือนมีนาคม ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในหมู่นักลงทุนและภาคธุรกิจ

นักวิเคราะห์จากหลายสถาบันการเงินให้ความเห็นว่าสิ่งที่สร้างความตื่นตระหนกให้กับตลาดหุ้นมากที่สุด ไม่ใช่เพียงการขึ้นภาษีศุลกากรเท่านั้น แต่เป็นการดำเนินนโยบายที่ขาดความแน่นอน ซึ่งอาจนำไปสู่การชะลอตัวของเศรษฐกิจโดยรวม

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เศรษฐกิจสหรัฐฯ แม้ว่าจะยังมีความแข็งแกร่งในบางด้าน แต่เริ่มแสดงสัญญาณของความอ่อนแอ เช่น การจ้างงานที่ชะลอตัว ความมั่นใจของผู้บริโภคที่ลดลง และอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีลดลงเหลือ 4.225% ซึ่งเป็นสัญญาณว่านักลงทุนกำลังแสวงหาทางเลือกที่ปลอดภัยมากขึ้น

บทสรุปและแนวโน้มในอนาคต แม้ว่าความผันผวนของตลาดหุ้นอาจเป็นเพียงช่วง สั้น ๆ แต่หากนโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์ยังคงขาดทิศทางที่ชัดเจนและมีความไม่แน่นอนสูง ก็มีโอกาสที่ตลาดจะยังคงเผชิญกับแรงกดดันอย่างต่อเนื่อง ความท้าทาย ที่สำคัญคือทรัมป์จะสามารถจัดการกับภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบางได้อย่างไร และจะสามารถรักษาความมั่นใจของทั้งนักลงทุนและผู้บริโภคไว้ได้หรือไม่

นักลงทุนและผู้กำหนดนโยบายจะต้องจับตามองข้อมูลเศรษฐกิจในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า โดยเฉพาะตัวเลขเงินเฟ้อและการเติบโตของ GDP ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดสำคัญว่าความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะกลายเป็นความจริงหรือไม่ หากทรัมป์ไม่สามารถดำเนินนโยบายที่สร้างเสถียรภาพให้กับตลาด ก็มีความเป็นไปได้ว่าสหรัฐฯ อาจต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในช่วงปีถัดไป.

Reference: Coohfey.com