
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ค่าดัชนีมวลกาย หรือ BMI (Body Mass Index) ถูกใช้เป็นมาตรฐานหลักในการกำหนดโรคอ้วน โดยเป็นการคำนวณน้ำหนักตัวเทียบกับส่วนสูง เพื่อประเมินความเสี่ยงด้านสุขภาพของบุคคล อย่างไรก็ตาม วิธีการนี้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างต่อเนื่องถึงความไม่สมบูรณ์ ทำให้เมื่อเร็วๆ นี้ คณะกรรมาธิการนานาชาติได้เสนอแนวคิดใหม่ในการนิยามโรคอ้วนที่มีความละเอียดอ่อนและครอบคลุมมากขึ้น
ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) และข้อดีข้อเสียของการใช้งาน
BMI คือค่าที่คำนวณได้จากการนำน้ำหนักตัว (กิโลกรัม) หารด้วยส่วนสูง (เมตร) ยกกำลังสอง เช่นเดียวกับการใช้งานเครื่องมือคำนวณออนไลน์ที่ช่วยให้ทราบค่าดังกล่าวได้ง่าย ข้อดีของ BMI คือความสะดวกในการใช้งาน เพียงใช้ตาชั่งและไม้บรรทัดก็สามารถวัดได้ อีกทั้ง BMI ยังมีการใช้งานในงานวิจัยต่างๆ มาอย่างยาวนาน ซึ่งพบความสัมพันธ์ระหว่างค่าดัชนีมวลกายที่สูงกับความเสี่ยงในการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานประเภทที่ 2 ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ และมะเร็ง
แม้จะมีประโยชน์ แต่ BMI กลับมีข้อจำกัดสำคัญ เช่น ไม่สามารถแยกแยะได้ว่ามวลน้ำหนักที่วัดได้มาจากไขมันหรือกล้ามเนื้อ ทำให้นักกีฬาที่มีมวลกล้ามเนื้อสูงอาจถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่มีโรคอ้วน ทั้งที่ไม่ได้มีไขมันสะสมในร่างกายมากเกินไป นอกจากนี้ ยังมีกรณีที่บุคคลมี BMI ปกติ แต่กลับมีสัดส่วนไขมันในร่างกายสูง (adiposity) ซึ่งเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังเช่นกัน
อีกหนึ่งข้อวิจารณ์คือ BMI ไม่สามารถสะท้อนผลลัพธ์ที่แม่นยำในกลุ่มชาติพันธุ์หรือเชื้อชาติที่แตกต่างกันได้ เช่น ในบางกลุ่มประชากร ค่าดัชนีมวลกายที่ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานก็อาจแสดงความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังในระดับสูงได้
นิยามใหม่ของโรคอ้วนที่เสนอโดยคณะกรรมาธิการนานาชาติ
ในเดือนมกราคม 2023 คณะกรรมาธิการที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญ 58 คนทั่วโลก ได้เสนอแนวคิดใหม่เกี่ยวกับนิยามโรคอ้วน ซึ่งมี 2 ประเด็นสำคัญ ได้แก่:
- เปลี่ยน BMI เป็นเครื่องมือคัดกรองเบื้องต้น
แทนที่จะใช้ BMI เป็นตัวชี้วัดโรคอ้วนโดยตรง คณะกรรมาธิการแนะนำให้ใช้ BMI เป็นเครื่องมือเบื้องต้นเพื่อตรวจหาผู้ที่อาจมีปริมาณไขมันสะสมในร่างกายสูงเกินไป โดยสามารถประเมินเพิ่มเติมได้ด้วยวิธีอื่น เช่น การวัดรอบเอว การคำนวณอัตราส่วนรอบเอวต่อสะโพก หรือการใช้เครื่องมือพิเศษ เช่น DEXA scan เพื่อวัดเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย - แยกผู้ที่มีโรคอ้วนออกเป็น 2 กลุ่ม
- โรคอ้วนที่ส่งผลกระทบทางคลินิก (Clinically Obese): กลุ่มนี้รวมถึงผู้ที่มีโรคอ้วนและมีผลกระทบต่อระบบต่างๆ ในร่างกาย เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ อาการปวดข้อหรือหลัง หรือโรคเรื้อรังอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน
- โรคอ้วนก่อนเกิดผลกระทบทางคลินิก (Pre-clinically Obese): กลุ่มนี้หมายถึงผู้ที่มีโรคอ้วน แต่ยังไม่มีผลกระทบต่อระบบร่างกายหรือโรคเรื้อรัง โดยควรได้รับการดูแลเพื่อลดความเสี่ยงของโรคในอนาคต
ข้อดีและข้อเสียของนิยามใหม่
ข้อดี:
นิยามใหม่ช่วยให้การวินิจฉัยโรคอ้วนมีความแม่นยำมากขึ้น โดยแยกแยะกลุ่มผู้ป่วยที่ต้องการการรักษาเร่งด่วนออกจากกลุ่มที่สามารถดูแลด้วยการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต เช่น โภชนาการและการออกกำลังกาย นอกจากนี้ยังช่วยลดการตีตรา (stigma) ที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน และส่งเสริมให้มองว่าโรคอ้วนเป็นภาวะเรื้อรังที่ต้องการการดูแลเฉพาะทาง
ข้อเสีย:
ในทางกลับกัน อาจเกิดความเสี่ยงที่บริษัทประกันสุขภาพหรือผู้ให้บริการทางการแพทย์บางแห่งจะไม่อนุมัติการรักษาสำหรับผู้ป่วยในกลุ่ม “โรคอ้วนก่อนเกิดผลกระทบทางคลินิก” จนกว่าจะมีอาการแทรกซ้อน ซึ่งขัดกับแนวทางการดูแลสุขภาพแบบป้องกัน
การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
แม้นิยามใหม่จะมีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงแนวทางการดูแลสุขภาพ แต่การนำไปปฏิบัติอาจต้องใช้เวลา เนื่องจาก BMI ยังคงเป็นเครื่องมือที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในงานวิจัยและระบบสาธารณสุข
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนได้เริ่มใช้แนวทางที่ครอบคลุมมากขึ้น โดยไม่พึ่งพา BMI เพียงอย่างเดียว นิยามใหม่นี้อาจช่วยผลักดันให้แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ตระหนักถึงความสำคัญของการวัดปริมาณไขมันในร่างกาย และการพิจารณาความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังที่ลึกซึ้งขึ้น
คำแนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพของตนเอง
สำหรับผู้ที่ต้องการข้อมูลสุขภาพที่ครอบคลุม ควรพูดคุยกับแพทย์เกี่ยวกับวิธีการประเมินปริมาณไขมันในร่างกาย เช่น การวัดรอบเอว ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่สัมพันธ์กับความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานและโรคหัวใจ
นอกจากนี้ ควรเข้าใจว่าโรคอ้วนเป็นภาวะเรื้อรังที่ต้องการการดูแลเฉพาะทาง ไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การโภชนาการที่เหมาะสม หรือการใช้ยาเมื่อจำเป็น การมองโรคอ้วนด้วยความเข้าใจและปราศจากการตีตราจะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างมีคุณภาพ
สรุป: นิยามใหม่ของโรคอ้วนที่เสนอโดยคณะกรรมาธิการนานาชาติเป็นความพยายามในการสร้างความเข้าใจที่ละเอียดอ่อนและครอบคลุมมากขึ้นเกี่ยวกับโรคนี้ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอาจช่วยให้การวินิจฉัยและการรักษาโรคอ้วนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังในระยะยาว