Posted on

นักวิจัยพบเซลล์ในสมองผู้ชายเชื่อมโยงกับภาวะซึมเศร้า: ภูมิคุ้มกันสมองอาจเป็นกุญแจสำคัญต่อโรคซึมเศร้าในผู้ชาย

(ภาพประกอบ)

นักวิทยาศาสตร์ค้นพบบทบาทสำคัญของเซลล์ภูมิคุ้มกันในสมองที่อาจอธิบายความแตกต่างระหว่างเพศในผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้า

ภูมิคุ้มกันในสมองเชื่อมโยงกับอารมณ์?

แม้ว่าโรคซึมเศร้าจะส่งผลกระทบต่อผู้หญิงมากกว่าผู้ชายในแง่ของอัตราการเป็นโรค แต่ผู้ชายกลับมีแนวโน้มที่จะมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น การฆ่าตัวตายมากกว่า งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยเยล (Yale University) ชี้ว่า “เซลล์ภูมิคุ้มกันในสมอง” อาจเป็นตัวแปรสำคัญที่อธิบายความแตกต่างนี้

ทีมวิจัยนำโดย ดร. เชอร์รี ฮวน (Dr. Sherry H. H. Hu) ศึกษาการแสดงออกของยีนในเนื้อสมองของผู้ที่เสียชีวิตจากโรคซึมเศร้า และพบว่าผู้ชายที่มีภาวะซึมเศร้ารุนแรงมีความผิดปกติในกิจกรรมของไมโครเกลีย (microglia) — เซลล์ภูมิคุ้มกันที่ควบคุมการอักเสบและการเชื่อมต่อของเซลล์ประสาทในสมอง

ทำไมไมโครเกลียจึงสำคัญ?

ไมโครเกลียไม่ได้เป็นเพียง “ตำรวจ” ที่คอยตรวจจับและกำจัดสิ่งแปลกปลอมในสมอง แต่ยังมีบทบาทในกระบวนการเรียนรู้และอารมณ์ด้วย การทำงานที่ผิดปกติของไมโครเกลียอาจทำให้สมองเชื่อมต่อกันได้ไม่ดี ส่งผลต่อความสามารถในการควบคุมอารมณ์ และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคซึมเศร้า

ในสมองของผู้ชายที่มีภาวะซึมเศร้า นักวิจัยพบว่าไมโครเกลียมีการแสดงออกของยีนที่ลดลง โดยเฉพาะในบริเวณ “anterior cingulate cortex” — พื้นที่สมองที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ อารมณ์ และความเครียด

ความแตกต่างระหว่างเพศ: เรื่องของสมองและภูมิคุ้มกัน

แม้ผู้หญิงจะเป็นโรคซึมเศร้ามากกว่า แต่กลับพบว่าในสมองของผู้หญิงที่เป็นโรคนี้ ไมโครเกลียไม่ได้มีความผิดปกติแบบเดียวกับที่พบในผู้ชาย ซึ่งบ่งชี้ว่ากลไกของโรคอาจแตกต่างกันในแต่ละเพศ

นี่เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่อาจนำไปสู่การพัฒนา “ยารักษาโรคซึมเศร้าเฉพาะเพศ” ในอนาคต

ทางเลือกใหม่ในการรักษา?

การรักษาโรคซึมเศร้าในปัจจุบันส่วนใหญ่เน้นที่การปรับสมดุลสารสื่อประสาท เช่น เซโรโทนิน แต่หากสมมุติฐานเรื่องภูมิคุ้มกันเป็นจริง นั่นหมายความว่า “ภูมิคุ้มกันในสมอง” อาจเป็นเป้าหมายใหม่ของการรักษา โดยเฉพาะในผู้ชาย

แม้งานวิจัยนี้ยังอยู่ในระยะเริ่มต้น และยังไม่สามารถใช้เป็นเกณฑ์ในการวินิจฉัยหรือรักษาได้ทันที แต่มันให้เบาะแสใหม่ที่อาจนำไปสู่แนวทางการรักษาแบบ “เจาะจงเพศ” ซึ่งเป็นแนวคิดที่กำลังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในแวดวงวิทยาศาสตร์การแพทย์.


แหล่งอ้างอิง: