Posted on

จากสงครามภาษีสู่สงครามเทคโนโลยี: ยุทธศาสตร์จีนในการเผชิญหน้าสหรัฐฯ

การตอบโต้ของจีนต่อแรงกดดันจากสหรัฐฯ

ในขณะที่อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เพิ่มแรงกดดันทางเศรษฐกิจต่อจีนโดยการเพิ่มภาษีศุลกากรสำหรับสินค้านำเข้าจากจีนสูงถึง 20% จีนได้ส่งสารกลับไปว่า “การเติบโตของจีนจะไม่หยุดชะงัก” การประชุม “สองสภา” ที่จัดขึ้นในกรุงปักกิ่งเป็นเวทีสำคัญที่รัฐบาลจีนใช้ในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจและส่งสัญญาณกลับไปยังวอชิงตันว่าจีนจะไม่ยอมจำนนต่อสงครามการค้า

ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจของจีน: ลดการพึ่งพาการส่งออกและพัฒนาเทคโนโลยี

ลำดับความสำคัญสูงสุดของจีนคือการกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศเพื่อลดการพึ่งพาการส่งออกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ นอกจากนี้ รัฐบาลยังผลักดันการลงทุนด้านเทคโนโลยีและเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นมหาอำนาจทางเทคโนโลยี นโยบายดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่อัตรา “ประมาณ 5%” ในปี 2025

นายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีของจีน กล่าวต่อที่ประชุมสภาประชาชนแห่งชาติว่า “เราสามารถเอาชนะอุปสรรคใด ๆ ได้ในการแสวงหาการพัฒนา” และเปรียบเทียบเศรษฐกิจจีนเป็น “เรือขนาดยักษ์” ที่กำลังแล่นไปสู่อนาคต นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศจีนยังแสดงท่าทีแข็งกร้าว โดยระบุว่า “หากสหรัฐฯ ยังคงทำสงครามภาษีหรือสงครามการค้า จีนจะต่อสู้จนถึงที่สุด”

ความมั่นใจของจีนกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลก

แม้ว่าจีนจะเผชิญกับความท้าทายภายใน เช่น วิกฤติภาคอสังหาริมทรัพย์และข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ แต่จีนยังคงมั่นใจในศักยภาพของตนเอง ความสำเร็จของบริษัทจีน เช่น BYD ซึ่งสามารถแข่งขันกับ Tesla ในตลาดยานยนต์ไฟฟ้า และบริษัท AI อย่าง DeepSeek ที่พลิกโฉมวงการปัญญาประดิษฐ์ ได้แสดงให้เห็นว่าจีนยังคงก้าวหน้าในด้านนวัตกรรม

นักวิชาการชาวจีนบางรายให้ความเห็นว่า การที่สหรัฐฯ กังวลกับการเติบโตของจีนสะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลที่เพิ่มขึ้นของประเทศ บางคนมองว่าการที่ทรัมป์ให้ความสำคัญกับการแข่งขันทางเศรษฐกิจกับจีนเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงพลังของจีนในเวทีโลก

ความท้าทายที่จีนต้องเผชิญในยุคของทรัมป์

แม้ว่าจีนจะพยายามรักษาความมั่นใจ แต่ความเสี่ยงยังคงมีอยู่ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลอาจไม่เพียงพอในการกระตุ้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ยังคงลังเลในการใช้จ่าย ประชากรหนุ่มสาวจำนวนมากยังคงเผชิญปัญหาการหางานทำ และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับอนาคตยังคงเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่ออัตราการบริโภคภายในประเทศ

นักวิเคราะห์บางรายมองว่านโยบายของทรัมป์อาจทำให้จีนเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากสหรัฐฯ ใช้มาตรการที่เข้มงวดมากขึ้น เช่น การควบคุมการลงทุนในจีน หรือการขยายมาตรการคว่ำบาตรต่อบริษัทเทคโนโลยีของจีน นอกจากนี้ จีนยังต้องเผชิญกับความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ อาจเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศโดยหันไปสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับรัสเซีย ซึ่งอาจทำให้จีนต้องพิจารณากลยุทธ์ของตนเองใหม่ในการบริหารความสัมพันธ์กับรัสเซีย

ยุทธศาสตร์ของจีนในการรับมือกับสงครามการค้า

รัฐบาลจีนตระหนักดีว่าต้องพึ่งพาการบริโภคภายในประเทศมากขึ้นเพื่อลดผลกระทบจากสงครามการค้า นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นการลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น AI, หุ่นยนต์, 6G และคอมพิวเตอร์ควอนตัม เพื่อลดการพึ่งพาตะวันตกและสร้างอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งขึ้น

แม้ว่าสหรัฐฯ จะใช้มาตรการจำกัดเทคโนโลยีจีนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เช่น การกีดกัน Huawei ออกจากตลาดโทรคมนาคมโลกและการควบคุมการเข้าถึงเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง แต่จีนยังคงเดินหน้าต่อไป รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หวัง อี้ กล่าวว่าการกดดันจากต่างชาติไม่สามารถหยุดยั้งความก้าวหน้าของจีนได้ โดยกล่าวว่า “ทุกครั้งที่มีการปิดกั้น ก็จะมีการพัฒนา ทุกครั้งที่มีการกดดัน ก็จะมีนวัตกรรมเกิดขึ้น”

จีนในยุคทรัมป์: ความท้าทายหรือโอกาส?

แม้ว่าทรัมป์จะกลับมาดำรงตำแหน่งและมีแนวโน้มที่จะดำเนินนโยบายที่เข้มงวดต่อจีนมากขึ้น แต่จีนยังคงพยายามรักษาสมดุลระหว่างความร่วมมือและการแข่งขันทางเศรษฐกิจ จีนได้ใช้โอกาสนี้ในการโปรโมตภาพลักษณ์ของตนในฐานะมหาอำนาจที่มีความรับผิดชอบในเวทีโลก โดยกล่าวหาสหรัฐฯ ว่าใช้ “อำนาจบาตรใหญ่” ในการแทรกแซงนโยบายของประเทศอื่น ๆ

ขณะที่จีนแสดงออกว่าต้องการความร่วมมือมากกว่าความขัดแย้ง แต่ก็เตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขันในทุกด้าน โดยเฉพาะในแง่ของเศรษฐกิจและเทคโนโลยี นักวิเคราะห์จากมหาวิทยาลัยชิงหัวกล่าวว่า “หากสหรัฐฯ เลือกที่จะสร้างความขัดแย้ง จีนก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเตรียมตัวสู้” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงท่าทีที่แข็งแกร่งขึ้นของจีนในเวทีโลก

บทสรุป

จีนกำลังเดินหน้าปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของตนเพื่อลดการพึ่งพาการส่งออกและเพิ่มขีดความสามารถทางเทคโนโลยี แม้ว่าทรัมป์จะกลับมาและดำเนินนโยบายแข็งกร้าวต่อจีน แต่รัฐบาลปักกิ่งยังคงมุ่งมั่นที่จะรับมือกับความท้าทายและแสวงหาโอกาสจากสถานการณ์ดังกล่าว ท้ายที่สุดแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนในอนาคตจะขึ้นอยู่กับทิศทางของนโยบายและกลยุทธ์ของทั้งสองประเทศในเวทีโลก.

Reference: Coohfey.com