Posted on

จากมิตรเป็นหมากบนกระดาน: วิเคราะห์ความสัมพันธ์สหรัฐฯ–แคนาดาในยุคทรัมป์

โดย ทีมข่าววิเคราะห์พิเศษ-Coohfey.com

การพบปะระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของแคนาดา มาร์ก คาร์นีย์ ที่ทำเนียบขาวเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคมที่ผ่านมา ไม่ใช่ฉากแห่งมิตรภาพแบบเดิม ๆ ที่โลกเคยเห็นจากสองประเทศเพื่อนบ้านนี้ หากแต่เป็นเวทีแห่งการวัดใจและส่งสัญญาณเชิงอธิปไตยที่หนักแน่นของฝ่ายแคนาดา

แม้การเจรจาจะไม่ถึงขั้นตึงเครียดถึงระดับที่เคยปะทะคารมกับประธานาธิบดีโวโลดีเมียร์ เซเลนสกี ของยูเครน แต่บรรยากาศของการสนทนาก็ห่างไกลจากคำว่าสุภาพหรือเป็นมิตร การพูดคุยที่ดูเหมือนเป็นทางการ แต่กลับเต็มไปด้วย “ระยะห่างเชิงนัย” ที่สะท้อนวิสัยทัศน์การเมืองภายนอกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

จากเส้นพรมแดน “สวยงาม” สู่คำพูด “แคนาดาอาจเป็นรัฐที่ 51”

ทรัมป์เปิดบทสนทนาในลักษณะกึ่งเล่นกึ่งจริง ด้วยการกล่าวชื่นชมแนวพรมแดนระหว่างสองประเทศว่า “ถูกขีดขึ้นอย่างสวยงาม” และ “ดูเหมือนเป็นธรรมชาติที่ควรจะเป็น” ก่อนจะโยงเข้าสู่แนวคิดที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานเดิมอีกครั้ง—แนวคิดที่ว่าแคนาดาควรกลายเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐฯ

แม้ทรัมป์จะกล่าวอย่างไม่เป็นทางการ แต่การเล่นกับแนวคิดนี้ไม่เพียงขาดความละเอียดอ่อนทางการทูต แต่ยังสะท้อนถึงมุมมองที่สหรัฐฯ เห็นประเทศเพื่อนบ้านเป็นเพียงแหล่งทรัพยากร มากกว่าคู่เจรจาที่เสมอภาค

คาร์นีย์โต้กลับด้วยถ้อยคำเฉียบขาด: “บางที่ไม่มีวันขาย”

ในขณะที่ทรัมป์พูดมากกว่า 90% ของการสนทนา คาร์นีย์เลือกที่จะโต้กลับอย่างมีจังหวะและทรงพลัง โดยระบุว่า “จากมุมมองของอสังหาริมทรัพย์ บางสถานที่ไม่มีวันขาย” พร้อมย้ำว่า “แคนาดาจะไม่มีวันถูกขาย และจะไม่มีวันตกเป็นรัฐของประเทศอื่น”

การตอบกลับดังกล่าวแม้จะสุภาพ แต่ชัดเจนและไม่เปิดช่องให้ทรัมป์เล่นกับแนวคิดนี้ต่อไป

ยกสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสัญลักษณ์ยืนยันอธิปไตย

การเชิญกษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 3 เยือนแคนาดาซึ่งคาร์นีย์ประกาศก่อนการพบปะครั้งนี้ ถือเป็นยุทธศาสตร์เชิงสัญลักษณ์ที่สำคัญ การเน้นย้ำสถานะของแคนาดาในฐานะประเทศเอกราชภายใต้สถาบันพระมหากษัตริย์ นับเป็นการโต้กลับความพยายามทำลายสถานะอธิปไตยของทรัมป์ด้วยวิธีที่นุ่มนวลแต่หนักแน่นและชัดเจน

เงื่อนไขความร่วมมือยังไม่ลงตัว: จี7, การค้า, ภาษีเหล็ก

แม้จะมีการกล่าวถึงการประชุม G7 ที่แคนาดาจะเป็นเจ้าภาพในเดือนหน้า แต่ทรัมป์ยังไม่ยืนยันว่าจะเข้าร่วมหรือไม่ ความลังเลนี้ตอกย้ำจุดยืนที่เขามีต่อพันธมิตรตะวันตกซึ่งเขามองว่าเป็น “ภาระ” มากกว่า “หุ้นส่วน”

ในด้านการค้า ทรัมป์ยังคงยืนกรานไม่ยกเลิกภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมที่เคยกำหนดไว้ พร้อมกล่าวทิ้งท้ายว่า “ไม่มีอะไรที่เขาจะพูดเพื่อเปลี่ยนใจผมได้” สะท้อนความไม่พร้อมจะประนีประนอม แม้จะพูดชมคาร์นีย์ว่า “กลับมาได้อย่างยอดเยี่ยม”

สถานะ “พอรับได้” แต่ยังไม่เป็นมิตร

แม้การพบปะครั้งนี้จะไม่ล่มหรือสร้างความบาดหมางฉับพลัน แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่า ความสัมพันธ์ระหว่างวอชิงตันกับออตตาวากำลังอยู่ในช่วง “ฟื้นตัวอย่างลุ่ม ๆ ดอน ๆ” หากใช้ภาษาทางการแพทย์ คงเรียกได้ว่าอยู่ใน “ระยะเฝ้าระวังขั้นวิกฤต” ที่ต้องอาศัยการวางกลยุทธ์ระยะยาว

บทสรุป: แคนาดาเปลี่ยนเกมความสัมพันธ์ ขณะที่ทรัมป์ยังใช้เกมเดิม

จากการที่คาร์นีย์สามารถคว้าชัยชนะเลือกตั้งจากกระแสต่อต้านทรัมป์ สู่การส่งสารเชิงอธิปไตยในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการพูดตรง ๆ ต่อหน้า การยกสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสัญลักษณ์ หรือการจัด G7 ที่ยังไม่แน่ชัดว่าอีกฝ่ายจะเข้าร่วมหรือไม่ ถือเป็นการวางหมากใหม่ของแคนาดา

ขณะที่ทรัมป์ยังคงเล่นเกมเดิม ด้วยการชูเรื่องการค้า ความเหนือกว่า และแนวคิดผนวกประเทศ แม้จะอ่อนน้ำเสียงลงบ้าง แต่ก็ยังไม่หลุดจากแนวคิด “America First” ที่แคนาดาไม่อาจร่วมทางได้

การประชุม G7 ที่กำลังจะมาถึงจึงจะเป็นเวทีพิสูจน์ครั้งใหม่ว่า ความสัมพันธ์แบบเดิมจะกลับมาได้หรือไม่ หรือจะถูกเขียนใหม่ภายใต้บริบทแห่งความแตกต่างที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าแค่เส้นพรมแดนที่เป็นเส้นตรงอย่างสวยงาม.