Posted on

งานวิจัยชี้: ยาฉีดชนิดออกฤทธิ์นานช่วยลดการเข้าโรงพยาบาลซ้ำ

(ภาพประกอบ)

การรักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรียรุนแรง เช่น การติดเชื้อในกระแสเลือด เยื่อบุหัวใจอักเสบ ข้ออักเสบจากเชื้อ และกระดูกอักเสบ มักต้องพึ่งยาปฏิชีวนะชนิดฉีดเข้าเส้นเลือดดำอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในรูปแบบของการให้ยาแบบผู้ป่วยนอก (OPAT) ที่ผู้ป่วยต้องรับยาเป็นระยะเวลาหลายสัปดาห์ อย่างไรก็ตาม ระบบดังกล่าวไม่เหมาะกับผู้ป่วยบางกลุ่ม เช่น ผู้ใช้สารเสพติด (People Who Use Drugs: PWUD) ซึ่งเผชิญกับข้อจำกัดทางสังคม ความยากจน และการถูกตีตราทางการแพทย์ ทำให้เข้าไม่ถึงการรักษาอย่างเหมาะสม

งานวิจัยชิ้นใหม่จากสหรัฐอเมริกา ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร JAMA Network Open ในปี 2025 ได้เปรียบเทียบประสิทธิผลของ ยาลิโพไกลโคเปปไทด์ชนิดออกฤทธิ์นาน (Long-Acting Lipoglycopeptides: laLGPs) ได้แก่ dalbavancin และ oritavancin กับ ยามาตรฐานที่ใช้กันทั่วไป (Standard-of-Care antibiotics: SOC) ในการรักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรียแกรมบวกรุนแรง

ผลการวิจัย: ยาออกฤทธิ์นานให้ผลลัพธ์เทียบเท่าการรักษามาตรฐาน

งานวิจัยนี้ครอบคลุมข้อมูลจากผู้ป่วยจำนวน 42,067 รายทั่วสหรัฐฯ ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียรุนแรงระหว่างปี 2015-2022 โดยมีผู้ที่ได้รับยา laLGPs จำนวน 825 ราย (2.0%) ขณะที่คนที่เหลือได้รับยามาตรฐาน

การวิเคราะห์พบว่า ยา laLGPs ให้ผลลัพธ์โดยรวมในช่วง 90 วันหลังออกจากโรงพยาบาล ไม่แตกต่างจากยามาตรฐาน ทั้งในกลุ่มผู้ใช้สารเสพติด(PWUD) และผู้ป่วยทั่วไป (non-PWUD) โดยพิจารณาจากอัตราการกลับมาเข้าโรงพยาบาลอีกครั้ง การไปห้องฉุกเฉิน หรือการเสียชีวิต

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาเชิงลึก พบว่า:

  • กลุ่มผู้ใช้สารเสพติด(PWUD) ที่ได้รับยา laLGPs มี อัตราการกลับมาเข้าโรงพยาบาลน้อยกว่า (25.7% เทียบกับ 39.4%)
  • กลุ่มผู้ป่วยทั่วไป(non-PWUD) ที่ได้รับยา laLGPs ก็มีอัตราการเข้าโรงพยาบาลซ้ำและเสียชีวิตต่ำกว่ากลุ่มที่ได้รับยามาตรฐานบางชนิด เช่น vancomycin และ cefazolin
  • โดยเฉพาะผู้ป่วยโรค กระดูกอักเสบ (osteomyelitis) ที่ได้ยา laLGPs มีแนวโน้มมีผลลัพธ์ดีกว่า

ทำไมยาชนิดนี้สำคัญ?

ยากลุ่ม laLGPs มีคุณสมบัติเด่นคือ ออกฤทธิ์ยาวนานถึง 1-2 สัปดาห์ต่อการให้ยาหนึ่งครั้ง ซึ่งต่างจากยาปฏิชีวนะแบบดั้งเดิมที่ต้องให้ทุกวัน ยานี้จึงช่วยลดภาระของผู้ป่วย โดยเฉพาะในกลุ่มที่ไม่สามารถเข้าโปรแกรม OPAT ได้อย่างสะดวก เช่น คนไร้บ้าน ผู้ติดสุรา และ ผู้ใช้สารเสพติด(PWUD)

ยิ่งไปกว่านั้น laLGPs อาจมี ผลต่อเนื่องในเนื้อเยื่อลึก เช่น กระดูกหรือข้อต่อ เป็นเวลาหลายสัปดาห์ โดยมี ค่า MIC (minimum inhibitory concentration) ต่ำเพียงพอที่จะฆ่าเชื้อแบคทีเรียแกรมบวกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อจำกัดและข้อพิจารณาทางคลินิก

ถึงแม้ผลลัพธ์จะน่าสนใจ แต่ก็มีข้อจำกัด เช่น:

  • ข้อมูลที่ใช้มาจากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ อาจมีความคลาดเคลื่อนของรหัสวินิจฉัย
  • ยังไม่สามารถระบุแน่ชัดถึงเหตุผลที่แพทย์เลือกใช้ยา laLGPs กับผู้ป่วยรายใด
  • ยา laLGPs ยังมีราคาสูง และยังไม่ได้รับการอนุมัติให้ใช้ในโรคติดเชื้อรุนแรงนอกเหนือจากผิวหนัง

อย่างไรก็ตาม นักวิจัยเชื่อว่ายากลุ่มนี้จะมีบทบาทเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะเมื่อระบบสุขภาพเผชิญความท้าทายจากโรคติดเชื้อเรื้อรัง และความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการรักษา

สรุป: ทางเลือกใหม่ในการรักษาโรคติดเชื้อในยุคที่ต้องคิด “นอกกรอบ”

ยาปฏิชีวนะชนิดออกฤทธิ์นานอย่าง dalbavancin และ oritavancin อาจกลายเป็น “ตัวเปลี่ยนเกม” ในการรักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรียแกรมบวก โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบางที่ไม่สามารถรับยารายวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ การวิจัยชิ้นนี้ไม่เพียงแต่ยืนยันถึง ความปลอดภัยและประสิทธิภาพที่ใกล้เคียงกับยามาตรฐาน แต่ยังเปิดโอกาสในการพัฒนาระบบการรักษาที่เท่าเทียมและยืดหยุ่นมากขึ้นในอนาคต.

แหล่งอ้างอิง :

Huang L, Rozycki A, Stoecker C, et al. Comparative Effectiveness of Long-Acting Lipoglycopeptides vs Standard-of-Care Antibiotics in Serious Bacterial Infections. JAMA Netw Open. 2025;8(5):e2512345. doi:10.1001/jamanetworkopen.2025.12345