Posted on

งานวิจัยชิ้นใหม่บ่งชี้: ดื่มกาแฟวันละ 1–3 แก้ว อาจช่วยให้สุขภาพดีจนถึงวัยชรา

งานวิจัยชิ้นใหม่จากมหาวิทยาลัยโตรอนโต ซึ่งเปิดเผยในการประชุมประจำปีของ American Society for Nutrition ที่เมืองออร์แลนโด สหรัฐอเมริกา พบว่า ผู้หญิงวัยกลางคนที่ดื่มกาแฟคาเฟอีน 1–3 แก้วต่อวัน มีแนวโน้มสูงที่จะมีสุขภาพดีทั้งร่างกาย จิตใจ และสมองเมื่อเข้าสู่วัยชรา โดยไม่มีโรคเรื้อรังใด ๆ

🔍 รายละเอียดของการศึกษา

  • นักวิจัยติดตามกลุ่มตัวอย่างกว่า 47,000 คน เป็นระยะเวลากว่า 30 ปี โดยใช้ข้อมูลจากโครงการ Nurses’ Health Study
  • กลุ่มตัวอย่างคือผู้หญิงวัยกลางคนที่ถูกติดตามตั้งแต่ช่วงอายุ 50 ปี
  • การดื่มกาแฟที่มีคาเฟอีนเชื่อมโยงกับโอกาสในการมีสุขภาพดีในวัยชราสูงขึ้น
  • ไม่พบผลลัพธ์แบบเดียวกันจาก ชา, กาแฟแบบไม่มีคาเฟอีน, หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนประเภทอื่น เช่น โคล่า

☕ ทำไมต้องเป็น “กาแฟ”?

ดร.เดวิด เกา (Dr. David Kao) จาก University of Colorado กล่าวว่าผลวิจัยนี้สอดคล้องกับงานก่อนหน้านี้ที่ชี้ว่า กาแฟมีสารที่อาจมีผลต่อสุขภาพเกินกว่าคาเฟอีนเพียงอย่างเดียว เช่น สารต้านอนุมูลอิสระ และสารต้านการอักเสบ

การศึกษาแม้จะเป็นเชิงสังเกต (observational study) ซึ่งยังไม่สามารถสรุปความเป็นเหตุเป็นผลโดยตรงได้ แต่ก็เป็นงานคุณภาพสูงที่ปรับปัจจัยรบกวนอื่น ๆ เช่น พฤติกรรม การกิน และสภาพแวดล้อมแล้ว

💡 ข้อควรระวัง

ดร.ซารา มาห์ดาวี (Dr. Sara Mahdavi) หัวหน้าทีมวิจัย ระบุว่า:

  • แม้ผลลัพธ์ชี้ว่ากาแฟอาจส่งเสริมสุขภาพในระยะยาว แต่ไม่ใช่คำแนะนำทั่วไปให้ทุกคนเริ่มดื่มกาแฟทันที
  • การตอบสนองต่อคาเฟอีนแตกต่างกันในแต่ละคน โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ในช่วงวัยหมดประจำเดือน หรือหญิงตั้งครรภ์
  • คาเฟอีนอาจอยู่ในร่างกายนานขึ้นในบางคน เนื่องจากเอสโตรเจนยับยั้งเอนไซม์ที่ช่วยสลายคาเฟอีนในตับ

✅ ใครควรระวังการดื่มกาแฟ?

ผู้ที่มีภาวะต่อไปนี้ควรจำกัดหรือเลี่ยงการบริโภคกาแฟ:

  • ความดันโลหิตสูง
  • โรคหัวใจ
  • วิตกกังวล
  • โรคนอนไม่หลับ

นอกจากนี้ กาแฟไม่สามารถทดแทนพฤติกรรมสุขภาพอื่น ๆ เช่น การออกกำลังกาย การนอนหลับให้เพียงพอ และการกินอาหารที่สมดุล

✨ บทสรุป

การดื่มกาแฟหรือดื่มคาเฟอีนอย่างพอเหมาะในวัยกลางคนอาจช่วยให้มีสุขภาพดีในระยะยาว ทั้งร่างกาย สมอง และจิตใจ อย่างไรก็ตาม ควรดื่มในปริมาณที่เหมาะสม และไม่ใช้การดื่มกาแฟนี้ทดแทนพฤติกรรมด้านสุขภาพพื้นฐานอื่น ๆ.


แหล่งอ้างอิง:

  • Mahdavi S. et al. American Society for Nutrition Annual Meeting 2024