Posted on

ความเสี่ยงของโรคตับจากการดื่มแอลกอฮอล์

การดื่มแอลกอฮอล์ในผู้ที่มีภาวะสุขภาพบางอย่างสามารถเพิ่มความเสี่ยงของโรคตับอย่างมีนัยสำคัญ งานวิจัยล่าสุดพบว่าผู้ที่มีภาวะโรคอ้วนลงพุง เบาหวาน หรือความดันโลหิตสูง มีโอกาสเกิดความเสียหายต่อตับมากกว่าผู้ที่ไม่มีภาวะเหล่านี้เมื่อดื่มแอลกอฮอล์

ภาวะสุขภาพที่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคตับ

  1. โรคอ้วนลงพุง – ผู้ที่มีรอบเอวตั้งแต่ 35 นิ้วขึ้นไปสำหรับผู้หญิง และ 40 นิ้วขึ้นไปสำหรับผู้ชาย มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะไขมันพอกตับ
  2. โรคเบาหวาน – ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะไขมันพอกตับ
  3. ความดันโลหิตสูง – เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สามารถเพิ่มความเสี่ยงของโรคตับเมื่อดื่มแอลกอฮอล์

ผลกระทบของแอลกอฮอล์ต่อตับ

การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สามารถทำลายเซลล์ตับ และก่อให้เกิดการสะสมของไขมัน ส่งผลให้เกิดการอักเสบและทำให้ตับเป็นแผลเป็น (fibrosis) ซึ่งหากเกิดขึ้นเรื้อรัง อาจนำไปสู่โรคตับแข็งและมะเร็งตับได้

ปริมาณแอลกอฮอล์ที่ถือว่าหนัก

จากการศึกษานี้ นักวิจัยกำหนดให้ผู้หญิงที่ดื่มแอลกอฮอล์เกิน 0.7 ออนซ์ (20 กรัม) และผู้ชายที่ดื่มเกิน 1.05 ออนซ์ (30 กรัม) ต่อวัน เป็นผู้ที่มีพฤติกรรมดื่มหนัก ซึ่งแม้ว่าจะดูเป็นปริมาณที่ไม่มาก แต่ก็สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคตับได้อย่างมาก

วิธีลดปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์

  • เลือกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เช่น ม็อกเทล น้ำผลไม้ หรือโซดา
  • ใช้หลัก SMART ในการตั้งเป้าหมายลดการดื่ม
    1. Specific: ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น ลดการดื่มลง 3 วันต่อสัปดาห์
    2. Measurable: ควบคุมปริมาณการดื่มและขนาดของเครื่องดื่ม
    3. Achievable: หลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่อาจกระตุ้นให้ดื่ม
    4. Relevant: ตระหนักถึงผลกระทบต่อสุขภาพของตนเอง
    5. Time-based: กำหนดกรอบเวลาสำหรับการลดการดื่มอย่างเป็นรูปธรรม

References:

  • National Health and Nutrition Examination Survey
  • Clinical Gastroenterology and Hepatology
  • US Centers for Disease Control and Prevention (CDC)
  • American Institute for Cancer Research
  • การให้สัมภาษณ์ของ Dr. Andrew Freeman และ Dr. Brian Lee