
การพยายามผลักดันข้อตกลงหยุดยิงในสงครามยูเครน-รัสเซียเป็นเรื่องที่ดูเหมือนจะเป็นข่าวดีในเบื้องต้น แต่ในความเป็นจริง ข้อตกลงนี้เป็นแนวคิดที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยความท้าทาย ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดอนาคตของยูเครนในแง่ของอธิปไตยและการสนับสนุนจากนานาชาติ
1. การหยุดยิง 30 วัน: โอกาสหรือกับดัก?
แนวคิดของการหยุดยิง 30 วันเป็นสิ่งที่ดูเหมือนจะไม่มีฝ่ายใดกล้าปฏิเสธ เนื่องจากสงครามที่ดำเนินมากว่าสามปีทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายแสนคนทั้งในฝั่งยูเครนและรัสเซีย อย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงของสงครามนี้อาจไม่เปิดโอกาสให้ข้อตกลงหยุดยิงดำรงอยู่ได้ง่าย ๆ
เครมลินเผชิญกับแรงกดดันในการแสดงให้เห็นว่าตนไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อเป้าหมายสันติภาพของทรัมป์ ในขณะที่วลาดิเมียร์ ปูติน อาจยอมรับแนวคิดเรื่องสันติภาพบางรูปแบบเพื่อรักษาภาพลักษณ์ว่าเป็นพันธมิตรของทรัมป์ แต่ก็มีโอกาสสูงที่รัสเซียจะใช้เวลาในการเจรจานี้เพื่อบรรลุเป้าหมายทางทหารที่ยังค้างคาอยู่ โดยเฉพาะในพื้นที่คูร์สก์ ซึ่งยูเครนยังครอบครองพื้นที่บางส่วนของรัสเซียมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม ความเป็นจริงที่ต้องเผชิญคือ รัสเซียมีประวัติที่ไม่น่าไว้วางใจในด้านการทูตและมักใช้ข้อตกลงหยุดยิงเป็นเพียงเครื่องมือในการได้เปรียบทางทหาร
2. ความท้าทายของข้อตกลงหยุดยิง
หนึ่งในความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดของการหยุดยิงคือการรักษาข้อตกลงนี้ให้คงอยู่เป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม ท่ามกลางแนวรบที่เต็มไปด้วยอาวุธหนัก โดรน และปฏิบัติการทางทหารที่ซับซ้อน โอกาสที่เหตุการณ์เล็ก ๆ เช่น การโจมตีด้วยอาวุธเบา หรืออุบัติเหตุจากระเบิดที่ไม่ได้ตั้งใจ อาจถูกใช้เป็นข้ออ้างในการล้มเลิกข้อตกลงมีสูงมาก
เจ้าหน้าที่ของยุโรปและยูเครนเคยเสนอข้อตกลงหยุดยิงแบบจำกัด เช่น การยุติการโจมตีทางอากาศ ทางทะเล และการทำลายโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ง่ายกว่า แต่ข้อเสนอนี้ถูกปฏิเสธเพื่อให้ได้ข้อตกลงหยุดยิงที่ครอบคลุมทุกแนวรบ
3. บทเรียนจากอดีต: ทำไมต้องระแวดระวังรัสเซีย?
หากพิจารณาถึงพฤติกรรมของรัสเซียในสงครามที่ผ่านมา จะพบว่ามอสโกมักใช้การเจรจาสันติภาพเป็นกลยุทธ์ชั่วคราวเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตีครั้งใหม่
- ในปี 2014 รัสเซียยึดไครเมีย โดยปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้รุกราน
- ในปี 2015 รัสเซียลงนามข้อตกลงหยุดยิงมินสค์ แต่กลับบุกยึดเมืองเดบาลท์เซเว่ในยูเครนเพียงไม่กี่วันหลังจากนั้น
- ในปี 2022 รัสเซียยืนยันว่าไม่มีแผนรุกรานยูเครน ก่อนจะเปิดฉากสงครามเต็มรูปแบบ
พฤติกรรมเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า ข้อตกลงหยุดยิงอาจเป็นเพียงเครื่องมือให้รัสเซียมีเวลาพักฟื้นและเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตีครั้งใหม่
4. อันตรายที่ซ่อนอยู่: กับดักทางการเมืองและการทูต
ความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดคือ หากข้อตกลงหยุดยิงล้มเหลว (ซึ่งมีแนวโน้มสูงว่ารัสเซียจะเป็นฝ่ายทำให้ล้มเหลว) ทรัมป์อาจกล่าวโทษยูเครนที่เป็นฝ่ายละเมิดสันติภาพ ซึ่งอาจนำไปสู่การลดหรือระงับความช่วยเหลือทางทหารจากสหรัฐฯ
นี่เป็นสถานการณ์ที่อันตรายอย่างยิ่ง เพราะหากยูเครนถูกมองว่าเป็นฝ่ายเริ่มต้นความขัดแย้ง ทรัมป์อาจใช้อำนาจของเขาเพื่อชะลอหรือหยุดการสนับสนุนจากตะวันตก ซึ่งจะเป็นประโยชน์โดยตรงต่อรัสเซีย
มอสโกมีความเชี่ยวชาญในการควบคุมการเล่าเรื่องทางการทูต และอาจใช้โอกาสนี้เพื่อกล่าวหายูเครนว่าเป็นผู้ทำลายสันติภาพ จากนั้นจึงเปิดฉากโจมตีรอบใหม่ ขณะที่ตะวันตกยังไม่ได้เตรียมตัว
5. ทรัมป์กับความท้าทายของ “การทูตเครมลิน”
ทรัมป์อาจคิดว่าความพยายามของเขาในการสร้างสันติภาพนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงสมดุลของสงครามได้ แต่ในความเป็นจริง รัสเซียมีประวัติของการเล่นเกมทางการทูตที่ซับซ้อน ใช้เวลายาวนาน และเต็มไปด้วยการบิดเบือน
ดังที่มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ กล่าวว่า
“ลูกบอลอยู่ในสนามของรัสเซียแล้ว”
ซึ่งเป็นคำกล่าวที่ถูกต้อง แต่รัสเซียไม่ได้เป็นเพียงผู้เล่นที่รับลูกบอลเท่านั้น พวกเขามีทักษะในการทำให้เกมสับสน เปลี่ยนกฎ และทำให้ฝ่ายตรงข้ามเสียเปรียบ
การรับมือกับรัสเซียต้องใช้ความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ทางทหารและการทูตของเครมลิน หากทรัมป์ยังคงใช้วิธีการที่ตรงไปตรงมาและไม่มีแผนรองรับ เขาอาจพบว่า “สันติภาพ” ที่เขาต้องการไม่ใช่สิ่งที่เขาได้รับ แต่กลับเป็นเงื่อนไขที่ทำให้รัสเซียมีโอกาสโจมตียูเครนได้ง่ายขึ้น
บทสรุป
แม้ว่าข้อตกลงหยุดยิง 30 วันอาจดูเป็นก้าวแรกของสันติภาพ แต่ในบริบทของสงครามยูเครน-รัสเซีย มันอาจกลายเป็นแค่กลยุทธ์ของเครมลินในการเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตีครั้งใหม่ การรับมือกับรัสเซียต้องอาศัยการมองภาพกว้างและเข้าใจพฤติกรรมในอดีตของมอสโก เพื่อหลีกเลี่ยงกับดักที่อาจทำให้ยูเครนและพันธมิตรตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ.
Reference : Coohfey.com