Posted on

ข้อดีและข้อเสียของแผนยกเลิกกระทรวงศึกษาธิการสหรัฐของโดนัลด์ ทรัมป์

การดำเนินการของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในการรื้อกระทรวงศึกษาธิการของสหรัฐฯ ถือเป็นนโยบายสำคัญที่สะท้อนถึงแนวคิดของฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่ต้องการลดบทบาทของรัฐบาลกลางในภาคการศึกษา การเคลื่อนไหวนี้ได้รับทั้งเสียงสนับสนุนและเสียงคัดค้านจากหลายฝ่าย ซึ่งจะส่งผลต่อระบบการศึกษาของสหรัฐฯ ในระยะยาว

เหตุผลและเป้าหมายของแผนการยกเลิกกระทรวงศึกษาธิการ

ทรัมป์และทีมงานของเขามองว่าการมีบทบาทของรัฐบาลกลางในภาคการศึกษาเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาทางระบบ เช่น โครงสร้างที่เทอะทะ การบริหารจัดการที่ไม่มีประสิทธิภาพ และการแทรกแซงนโยบายของรัฐและท้องถิ่น นอกจากนี้ ยังมีข้อกล่าวหาว่ากระทรวงศึกษาธิการมีบทบาทในการผลักดันแนวคิดทางการเมืองและวัฒนธรรมที่ไม่เป็นที่ยอมรับในหมู่ผู้สนับสนุนของทรัมป์

เอกสารคำสั่งบริหารที่ร่างขึ้นระบุว่า “การควบคุมการศึกษาของอเมริกาผ่านโครงการของรัฐบาลกลางและงบประมาณ—รวมถึงระบบข้าราชการที่ไม่มีความรับผิดชอบ—เป็นความล้มเหลวต่อเด็ก ครู และครอบครัวของเรา” โดยมีเป้าหมายให้รัฐและท้องถิ่นเป็นผู้รับผิดชอบระบบการศึกษาของตนเอง

อุปสรรคทางกฎหมายและความเห็นจากรัฐสภา

แม้ว่าทรัมป์จะสามารถออกคำสั่งบริหารให้เริ่มกระบวนการรื้อถอนกระทรวงศึกษาธิการได้ แต่การยกเลิกอย่างเป็นทางการต้องได้รับการอนุมัติจากสภาคองเกรส ซึ่งในอดีต การพยายามปิดกระทรวงดังกล่าวล้มเหลวเนื่องจากขาดเสียงสนับสนุนที่เพียงพอ

วุฒิสมาชิกซูซาน คอลลินส์ (พรรครีพับลิกัน) ได้ออกมาแสดงความกังวลเกี่ยวกับโครงการสำคัญที่อาจได้รับผลกระทบ เช่น โครงการช่วยเหลือเด็กที่มีความต้องการพิเศษ และการสนับสนุนโรงเรียนที่มีนักเรียนจากครอบครัวที่มีรายได้น้อย นอกจากนี้ วุฒิสมาชิกบิล แคสซิดี้ (พรรครีพับลิกัน) ก็แสดงความเห็นว่าควรมีรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแผนดังกล่าวก่อนที่จะมีการตัดสินใจ

ในขณะเดียวกัน พรรคเดโมแครตมองว่าการรื้อกระทรวงศึกษาธิการเป็นความพยายามที่จะลดคุณภาพของการศึกษา และทำให้รัฐบาลกลางไม่สามารถกำกับดูแลมาตรฐานการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส.ส.มาดีลีน ดีน (พรรคเดโมแครต) กล่าวหาว่าการกระทำของทรัมป์มีเป้าหมายเพื่อทำให้ประชาชนมีการศึกษาน้อยลง เพื่อให้พวกเขาไม่สามารถตรวจสอบรัฐบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผลกระทบต่อระบบการศึกษา

หากทรัมป์สามารถยกเลิกกระทรวงศึกษาธิการได้จริง ระบบการศึกษาของสหรัฐฯ จะเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ โดยหน้าที่บางอย่างของกระทรวงอาจถูกโอนไปยังหน่วยงานอื่น หรือให้รัฐและท้องถิ่นเป็นผู้บริหารจัดการเอง ซึ่งอาจมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ดังนี้:

ข้อดี

  1. คืนอำนาจให้รัฐและท้องถิ่น – โรงเรียนและชุมชนสามารถออกแบบหลักสูตรและนโยบายการศึกษาให้เหมาะสมกับบริบทของตนเอง
  2. ลดระบบราชการที่ยุ่งยาก – การกระจายอำนาจอาจช่วยให้การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  3. ลดการใช้จ่ายของรัฐบาลกลาง – งบประมาณที่เคยใช้ในการบริหารกระทรวงสามารถนำไปใช้กับโครงการอื่นที่จำเป็นกว่า

ข้อเสีย

  1. ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาเพิ่มขึ้น – รัฐที่มีงบประมาณจำกัดอาจไม่สามารถให้การศึกษาที่มีคุณภาพแก่เด็กทุกคนได้
  2. ขาดมาตรฐานระดับชาติ – ระบบการศึกษาของสหรัฐฯ อาจขาดมาตรฐานกลาง ทำให้คุณภาพการศึกษาระหว่างรัฐมีความแตกต่างกันมากขึ้น
  3. โครงการช่วยเหลืออาจถูกลดลง – เด็กที่มีความต้องการพิเศษและโรงเรียนที่มีนักเรียนจากครอบครัวที่มีรายได้น้อยอาจไม่ได้รับการสนับสนุนในระดับที่เคยได้รับ

แนวโน้มในอนาคต

แม้ว่าทรัมป์จะเดินหน้าผลักดันนโยบายนี้อย่างจริงจัง แต่โอกาสในการยกเลิกกระทรวงศึกษาธิการอย่างสมบูรณ์ยังคงไม่แน่นอน เนื่องจากต้องเผชิญกับแรงต่อต้านจากหลายฝ่าย รวมถึงนักการเมืองภายในพรรครีพับลิกันเอง อย่างไรก็ตาม ความพยายามของทรัมป์สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของแนวคิดที่ต้องการให้รัฐและท้องถิ่นมีอำนาจมากขึ้นในการบริหารจัดการการศึกษา

หากแผนของทรัมป์ไม่สามารถดำเนินการได้ทั้งหมด อาจมีการลดขนาดและอำนาจของกระทรวงศึกษาธิการแทน ซึ่งจะส่งผลให้การกำกับดูแลของรัฐบาลกลางต่อระบบการศึกษาลดลง และรัฐมีอิสระในการดำเนินนโยบายมากขึ้น

สรุป

การยกเลิกกระทรวงศึกษาธิการของสหรัฐฯ เป็นแนวคิดที่มีการถกเถียงกันมาอย่างยาวนาน และในครั้งนี้ ทรัมป์ได้พยายามผลักดันให้เป็นจริงมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การดำเนินการดังกล่าวต้องเผชิญกับข้อกังวลหลายด้าน ทั้งจากพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันบางส่วน หากการปิดกระทรวงไม่สามารถเกิดขึ้นได้เต็มรูปแบบ อาจมีการลดบทบาทและงบประมาณของกระทรวงแทน ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงแนวทางการศึกษาของสหรัฐฯ ในอนาคตอย่างมีนัยสำคัญ.

Reference: Coohfey.com