
การเยือนทำเนียบขาวของประธานาธิบดียูเครน โวโลดีเมียร์ เซเลนสกี กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่เน้นย้ำถึงความแตกแยกระหว่างสหรัฐฯ และพันธมิตรยุโรป โดยขณะที่รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตำหนิและตั้งคำถามต่อความเป็นผู้นำของเซเลนสกี ยุโรปกลับยืนหยัดให้การสนับสนุนผู้นำยูเครนอย่างแข็งขัน นำไปสู่ความเป็นไปได้ที่การเมืองโลกกำลังเคลื่อนไปสู่ความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในระดับสูง
สหรัฐฯ ผลักดันให้เซเลนสกีหลีกทาง
ท่าทีของฝ่ายบริหารของทรัมป์สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการยุติสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนอย่างเร่งด่วน ไม่ว่าวิธีการนั้นจะส่งผลกระทบต่ออธิปไตยของยูเครนหรือไม่ โดย ไมค์ วอลซ์ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของทรัมป์ กล่าวว่าหากเซเลนสกีไม่พร้อมจะยุติความขัดแย้ง สหรัฐฯ อาจต้องพิจารณาให้ยูเครนมีผู้นำคนใหม่ที่สามารถตอบสนองต่อเป้าหมายของอเมริกาได้ นี่เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่ารัฐบาลทรัมป์กำลังพิจารณาการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในยูเครนเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางของตน
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังพยายามปูทางไปสู่การฟื้นฟูความสัมพันธ์กับรัสเซีย โดยโทษเซเลนสกีว่าเป็นสาเหตุของการรุกรานของรัสเซีย ซึ่งเป็นคำกล่าวอ้างที่ตรงกับแนวทางโฆษณาชวนเชื่อของเครมลิน สถานการณ์นี้ทำให้เกิดความกังวลในหมู่พันธมิตรยุโรป ว่าสหรัฐฯ อาจลดทอนการสนับสนุนทางทหารและเศรษฐกิจต่อยูเครน อันเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ยูเครนยังคงต่อสู้กับรัสเซียได้
ยุโรป: แกนกลางของการสนับสนุนยูเครน
ในทางตรงกันข้าม ยุโรปได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในการสนับสนุนยูเครนมากขึ้น นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เคียร์ สตาร์เมอร์ จัดการประชุมร่วมกับผู้นำชาติตะวันตกโดยให้เซเลนสกีเป็นแขกเกียรติ และยืนยันว่าจะจัดตั้ง “แนวร่วมแห่งความมุ่งมั่น” เพื่อให้การสนับสนุนทางทหารและความมั่นคงต่อยูเครน
ขณะเดียวกัน ฝรั่งเศสและอังกฤษได้เสนอให้มีการหยุดยิงชั่วคราวเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน ซึ่งแม้ว่าจะเป็นแนวคิดที่มุ่งสู่สันติภาพ แต่ก็อาจทำให้รัสเซียมีโอกาสฟื้นฟูกำลังและเตรียมการรบระยะต่อไป นอกจากนี้ อูร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปยังกล่าวว่ายุโรปต้องช่วยให้ยูเครนกลายเป็น “เม่นเหล็ก” ที่ไม่สามารถถูกกลืนกินได้ สะท้อนถึงท่าทีที่แข็งแกร่งของยุโรปในการป้องกันยูเครนจากการรุกรานของรัสเซีย
ผลกระทบระยะยาวต่อแนวร่วมโลกเสรี
เหตุการณ์ในทำเนียบขาวเป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของดุลอำนาจในโลกเสรี ความแตกแยกของพันธมิตรตะวันตกอาจเป็นประโยชน์ต่อรัสเซีย ซึ่งมีเป้าหมายระยะยาวในการทำให้ชาติตะวันตกอ่อนแอลงและลดบทบาทของ NATO
อย่างไรก็ตาม ยุโรปอาจใช้โอกาสนี้เพื่อเสริมสร้างความเป็นอิสระทางด้านความมั่นคงให้มากขึ้น การที่สหภาพยุโรปเพิ่มงบประมาณกลาโหมและพยายามพัฒนาโครงสร้างความมั่นคงของตนเอง อาจช่วยให้ยุโรปสามารถรักษาความสมดุลในเวทีโลกได้ แม้จะไม่มีการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากสหรัฐฯ
สรุป: จุดเปลี่ยนของยุโรปและความไม่แน่นอนของสหรัฐฯ
ในระยะสั้น สงครามยูเครนยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางของความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และยุโรป หากทรัมป์ยังคงมีท่าทีแข็งกร้าวและพยายามลดบทบาทของสหรัฐฯ ในสงคราม อาจทำให้ยุโรปต้องรับบทบาทนำในการรักษาสมดุลทางอำนาจของโลกเสรี
อย่างไรก็ตาม คำถามสำคัญคือยุโรปจะสามารถรักษาแนวทางนี้ได้นานแค่ไหน หากไม่มีการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ยุโรปจะสามารถต้านทานแรงกดดันทางการเมือง เศรษฐกิจ และการทหารจากรัสเซียได้หรือไม่ นี่อาจเป็นบททดสอบครั้งสำคัญสำหรับอนาคตของระเบียบโลกและบทบาทของยุโรปในฐานะผู้นำของแนวร่วมประชาธิปไตย.
Reference : Coohfey.com