ผลการศึกษาวิจัยชิ้นใหม่ชี้ให้เห็นว่าผู้ที่ชอบการนอนดึก อาจมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดโรคเบาหวานประเภทที่ 2 และรวมถึงผู้ที่มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพด้วย การศึกษาวิจัยชิ้นนี้ได้มีการติดตามศึกษาพฤติกรรมของพยาบาลจำนวนเกือบ 64,000 คนตลอดระยะเวลาแปดปี และพบว่า:
- ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานเพิ่มขึ้น: ผู้ที่ชอบนอนดึกมีความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 2 เพิ่มขึ้นถึง 72% เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ชอบนอนดึกและตื่นแต่เช้า
- พฤติกรรมใช้ชีวิตที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ: ผู้ที่ชอบนอนดึกมีแนวโน้มที่จะมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ รวมถึงการเลือกรับประทานอาหารที่ไม่ดี การออกกำลังกายน้อยลง การดื่มแอลกอฮอล์มากขึ้น การมีค่าดัชนีมวลกายที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ การสูบบุหรี่และมีรูปแบบการนอนหลับที่ผิดปกติ
- ปัจจัยด้านรูปแบบการใช้ชีวิต: เมื่อทำการคัดแยกรูปแบบการใช้ชีวิตที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพออกมา พบว่าความเสี่ยงของการเกิดโรคเบาหวานประเภทที่ 2 ในคนที่ชอบนอนดึก ลดลงถึง 19% เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่นอนดึกและตื่นแต่เช้า
- ความบกพร่องทางพันธุกรรม: ถึงแม้ว่าปัจจัยด้านรูปแบบการดำเนินชีวิตจะถูกควบคุมก็ตามแต่ก็อาจมีความบกพร่องทางพันธุกรรมที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานได้รวมถึงความชื่นชอบในการทำกิจกรรมช่วงเย็นอีกด้วย
ผลการศึกษาวิจัยชี้ให้เห็นว่าบุคคลที่ชื่นชอบทำกิจกรรมในช่วงเย็นหรือชอบนอนดึกควรที่จะตระหนักถึงความเสี่ยงเหล่านี้ และควรดำเนินการเพื่อควบคุมปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์ เลิกสูบบุหรี่ เพิ่มการออกกำลังกายมากขึ้น นอนหลับให้เพียงพอและควรจัดการกับความเสี่ยงเหล่านี้ให้ดีที่สุด
การวิจัยยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการดูแลรักษาจังหวะการเต้นของหัวใจให้สม่ำเสมอ เนื่องจากถ้ามีการรบกวนจังหวะการเต้นของหัวใจก็อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางเมตะบอลิซึม และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานชนิดที่ 2 รูปแบบการนอนหลับเฉพาะแต่ละบุคคลไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ตื่นแต่เช้าหรือผู้ที่ชอบนอนดึกที่ได้รับอิทธิพลจากทั้งปัจจัยทางพันธุกรรมและปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมก็ตามแต่ก็สามารถปรับเปลี่ยนได้ในระดับหนึ่ง
นอกจากนี้ การวิจัยยังพบว่าการจัดเวลาการทำงานให้สอดคล้องกับรูปแบบการนอนของแต่ละบุคคลอาจเป็นประโยชน์ต่อการลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานได้ ผู้ที่ชอบนอนดึกที่ทำงานในตอนกลางวันนั้นมีความเสี่ยงสูงกว่าผู้ที่มีการจัดตารางเวลาการนอนที่สอดคล้องกับความชื่นชอบของตนเอง การศึกษาครั้งนี้ได้เน้นย้ำแนวคิดที่ว่ารูปแบบการดำเนินชีวิตมีบทบาทสำคัญในความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน แต่ก็ยังสะท้อนให้ทราบถึงอิทธิพลของปัจจัยด้านพันธุกรรมและความสำคัญของการดูแลจังหวะการเต้นของหัวใจให้สม่ำเสมอและแข็งแรง.